452_1

 

รัชกาลที่ 5

 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

 

 

ครองราชย์ 1 ตุลาคม พ.. 2411 - 23 ตุลาคม พ.. 2453

 

 

 

453 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

.. 2411

 

2411 - กำเนิดทหารสองโหล

วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.. 2411 เป็นวันบรมราชาภิเษกแห่งพระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จอมพลสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงประกาศให้วันนี้เป็นวันตั้งกรมทหารมหาดเล็ก”) โดยกรมทหารมหาดเล็กมีกำเนิดเริ่มต้นมาจากทหารสองโหลและทหารมหาดเล็กไล่กาดังนี้

 

ทหารสองโหล- .. 2411 รัชกาลที่ 5

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระบาท-สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใน พ.. 2411 ในระยะแรกที่ยังมิได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมณเฑียร พระองค์ยังคงประทับอยู่ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ที่มุขพระเฉลียงด้านตะวันออกตอนทิศใต้ มีการกั้นพระฉากห้องที่บรรทม จวบจนเมื่อมีพระราชพิธีเฉลิมพระราช-มณเฑียรแล้วจึงเสด็จเข้าไปประทับ ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระฉากก็ยังคงกั้นและมีอยู่ตามเดิม สำหรับที่ประทับพักเป็นที่รโหฐาน ในพระฉากนั้น เป็นหน้าที่ของมหาดเล็กข้าหลวงเดิมได้เฝ้ารักษามาแต่เดิม มหาดเล็กเหล่านี้เป็นตำแหน่งขุนนางฝ่ายพลเรือน

ต่อมาจึงมีพระราชดำริให้มหาดเล็กข้าหลวงเดิมที่เฝ้าพระฉากทำหน้าที่เป็นทหารมหาดเล็กขึ้น 1 หมู่ ประกอบด้วยทหารมหาดเล็ก 24 คน จึงเรียกว่า ทหารสองโหล” (ถือปืนชไนเดอร์) มีผู้บังคับหมู่ 1 คน ชื่อนายเจียม ซึ่งเป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิม ภายหลังได้เป็นพระพรหมประสาทศิลป

เมื่อแรกจัดตั้งนั้นทหารสองโหลยังไม่มีหน้าที่รักษาการณ์อันใด และไม่มีเวรผลัดเปลี่ยนประจำการแต่อย่างใด เพราะเดิมเป็นมหาดเล็กรับใช้พระมหากษัตริย์ ยังไม่เคยฝึกหัดวิชาทหาร ต่อมาจึงให้นายดาบเล็กจากกรมทหารหน้านายหนึ่งมาเป็นครูฝึกหัดทหารแบบยุโรปให้กับมหาดเล็ก 24 คน เหมือนกับทหารหน้า จึงเป็นหมู่ทหารมหาดเล็กสองโหลขึ้นมาจริงจัง 1 หมู่ ถึงเวลาก็ไปฝึกหัดทหาร เสร็จแล้วก็มาถวายงานเป็นมหาดเล็กเวรเหมือนมหาดเล็กเดิม เนื่องจากทหารสองโหลชุดนี้เดิมเป็นมหาดเล็กซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือน เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มหาดเล็กทำหน้าที่เป็นทหารด้วย จึงเรียกว่าทหารมหาดเล็ก

เมื่อมหาดเล็กทั้ง 24 คนได้รับการฝึกหัดทหารแบบยุโรปสำเร็จแล้ว ได้เข้าแถวยืนรับเสด็จในเวลาเสด็จออกพระชาลาพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย และต่อมาจึงมีหน้าที่ตามเสด็จพระราชดำเนินตามสถานที่ต่าง ๆ ด้วย แต่ยังไม่มีระเบียบแน่นอน เป็นเพียงการจัดตั้งมหาดเล็กจำนวน 24 คนขึ้นเป็นทหารที่ได้รับการฝึกตามแบบกรมทหารหน้าตามแบบทหารยุโรปขึ้น 1 หมู่เท่านั้น ในเบื้องต้นยังไม่มีสถานที่ตั้งของทหารสองโหล ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตึก 2 ชั้นที่อยู่ริมถนนฝั่งใต้หน้าพระราชวังสราญรมย์ อยู่บริเวณรั้วและประตูพระราชอุทยานสราญรมย์ทิศเหนือ (ปัจจุบันรื้อไปแล้ว) “ทหารมหาดเล็กในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นมีมูลเหตุที่มาจากทหารมหาดเล็กไล่กาในสมัยรัชกาลที่ 4 ดังนี้

 

 

454 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

ทหารมหาดเล็กไล่กา - .. 2404 รัชกาลที่ 4

.. 2404 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมบุตรในราชตระกูลและบุตรข้าราชการที่ยังเยาว์วัยมาทดลองฝึกหัดเป็นทหารตามยุทธวิธีแบบใหม่เช่นเดียวกับกรมทหารหน้า คือ สำหรับไล่กาที่บินมารบกวนข้าวสุกในเวลาทรงบาตร และตั้งแถวยืนรับเสด็จในที่นั้นทุกเวลาเช้า ทหารมหาดเล็กไล่กาในสมัยรัชกาลที่ 4 จึงเป็นการฝึกอบรมสำหรับเด็ก ไม่ใช่ตำแหน่งเป็นข้าราชการทหารมหาดเล็กจริง ๆ

สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงษ์วรเดช ทรงพระนิพนธ์อยู่ในหนังสือ ตำนานกรมทหารบกราบที่ 1 ความว่า

 

มูลเหตุจักเกิดขึ้นนั้น เดิมเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-เจ้าอยู่หัวพระปิยมหาราช ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นในปี 2411 นั้น เสด็จออกทอดพระเนตรกรมและกองทหารบกเกณฑ์หัดอย่างยุโรป ซึ่งมีมาแต่โบราณกาล และที่มีอยู่ในครั้งรัชกาลที่ 4 เรียกว่าทหารหน้าฝึกหัดยุทธวิธีอย่างซึ่งมีอยู่ในสมัยนั้น ถวาย ณ ท้องสนามไชย หน้าพระที่นั่งสุทไธศวรรย์อยู่เนือง ๆ กระทำให้เกิดมีพระราชนิยมในการทหารยิ่งขึ้น

ลำดับนั้นมีบุตรในราชตระกูล และข้าราชการที่ยังมีอายุย่อมเยาว์เข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวังหลายคนด้วยกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดเด็กพวกนั้นรวมกันฝึกหัดขึ้นเป็นทหารตามยุทธวิธีอย่างใหม่ในสมัยนั้น ทหารเด็ก ๆพวกนั้นเรียกว่าทหารมหาดเล็กไล่กาคือสำหรับไล่กาที่บินมารบกวนข้าวสุกในเวลาทรงบาตร และตั้งแถวยืนรับเสด็จในที่นั้นทุกเวลาเช้า มีจำนวนในขั้นแรกประมาณสัก 12 คน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศวรเดช แต่เมื่อยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์อยู่นั้น กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการแต่เมื่อดำรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าเทวันอุไทยวงศ์ ทั้งสองพระองค์ซึ่งในเวลานั้นยังทรงพระเยาว์รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นนายทหารมหาดเล็กไล่กาพวกนั้นอันมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันทุกคน และผู้เป็นทหารมหาดเล็กพวกนี้ล้วนเป็นเด็กไว้ผมจุกโดยมาก อันควรนับว่าเป็นแต่ชั้นการเล่น ๆ หรือจะนับว่าเป็นแต่ชั้นนักเรียนทหาร ก็ดีถึงกระนั้น ทหารพวกนี้ก็ได้มีนามว่าทหารมหาดเล็กเป็นครั้งแรก และเป็นเหตุให้เกิดมีกรมทหารมหาดเล็กที่จริงจัง สืบเชื้อนามเป็นหลักฐานต่อมา

 

 

455 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

.. 2413

 

2413 - 1 เสด็จพระราชดำเนินเยือนเมืองสิงคโปร์ และเมืองเบตาเวีย ประเทศอินโดนีเซีย

วันที่ 9 มีนาคม พ.. 2413 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษา 17 พรรษา ได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองสิงคโปร์ และเมืองเบตาเวีย ในประเทศอินโดนีเซีย ทอดพระเนตรกิจการของโรงพยาบาลหลายแห่ง ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าที่รักษาคนเจ็บป่วย ยังมิได้กำหนดใช้คำว่าโรงพยาบาล ทั้งโรงพยาบาลจิตเวช โรงพยาบาลทหาร รวมถึงพิพิธภัณฑ์การแพทย์ ที่ใช้ในจดหมายเหตุฯ ว่า โรงหมอที่ไว้กระดูกคนตายและโรคในตัวศพ สรุปได้ ดังนี้

ณ เมืองสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในการปกครองของประเทศอังกฤษ พระองค์ทอดพระเนตรกิจการด้านไปรษณีย์และโทรเลข โรงเรียนสอนหนังสือเด็ก ที่รักษาคนเสียจริตแลคนป่วยไข้ คุกขังนักโทษการดับเพลิง การค้าขาย

ณ เมืองเบตาเวีย (ปัตตาเวีย) ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนั้นอยู่ในความปกครองของฮอลันดา (ประเทศเนเธอร์แลนด์) เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรรถราง โรงทำปืน ตึกสำหรับรักษาทหารเจ็บป่วย การฝึกหัดทหาร การทหาร โรงเรียนสอนเด็ก โรงเลี้ยงเด็กกำพร้ายากจน หอคองคอเดีย (สโมสรทหาร) การละเล่นดอกไม้เพลิง ตึกทำปืนไรเฟิล โรงเรียนสอนวิชาต่าง ๆ โรงเรียนแยกธาตุและไฟฟ้า โรงเรียนทหาร ตึกรักษาคนไข้ โรงหมอที่ไว้กระดูกคนตายและโรคในตัวศพ ศาลหลวงและศาลกรมเมือง โรงประทีปลม ตึกเก็บภาษีสวนสัตว์ ตึกมิวเซียมที่ไว้ของโบราณ โรงทำดินปืน ตึกรักษาคนบ้าและคนไข้

 

2413 - 2 กำเนิดกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์

หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับจากเมืองสิงคโปร์และเมืองเบตาเวียแล้ว ทรงเริ่มทดลองจัดราชการอย่างใหม่แบบตะวันตกขึ้นในทหารสองโหล” (ทรงทดลองจัดตั้งระบบราชการแบบตะวันตกเป็นครั้งแรก) ทรงยกกองทหารสองโหลตั้งเป็นกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์โดยเพิ่มจำนวนทหารมหาดเล็ก จากการคัดเลือกมหาดเล็กที่เป็นข้าราชการหนุ่ม ๆ จำนวน 72 คนมารวมกับทหารมหาดเล็ก 2 โหล ตั้งเป็นกองทหารกองหนึ่ง เรียกว่ากองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นนายพันเอก ตำแหน่งผู้บังคับการกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ด้วยพระองค์เอง และมีพระยาสุรศักดิ์มนตรี (แสง แสง-ชูโต) จางวางมหาดเล็ก เป็นนายพันโท ตำแหน่งรองผู้บังคับการกองฯ

เมื่อแรกจัดตั้งกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์นั้น พระยาสุรศักดิ์มนตรี (แสง แสง-ชูโต) ขอตัวนายเจิม บุตรชายที่ทำงานในสังกัดสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) มาเป็นทหารมหาดเล็กอาสาสมัครคนแรก

การจัดการกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์นี้ กำหนดเรียกตำแหน่งทหารแบบอังกฤษ เสมือนเป็นการทดสอบระบบจัดราชการอย่างใหม่โดยนำระบบราชการแบบตะวันตกมาปรับใช้

 

 

456 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

456_พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องแบบนายทหารมหาดเล็ก

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องแบบนายทหารมหาดเล็ก

 

 

457 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

ทรงตั้งตำแหน่งยศอย่างอังกฤษและตำแหน่งยศอย่างไทยไปพร้อมกัน โดยเรียกทับศัพท์ตำแหน่งยศภาษาอังกฤษเป็นหลักในราชการ ตัวอย่างยศของทหาร เมื่อ พ.. 2413 มีดังนี้ คอลอเนล (Colonel) - นายพันเอก, ลุตแตเนล คอลอเนล (Lieutenant Colonel) - นายพันโท, แอดยุแตนด์ (Adjutant) - ปลัดกองทหาร, ซายันต์ เมเยอร์ (Sergeant Major) - จ่านายสิบ, และซายันต์ (Sergeant) - นายสิบเอก ฯลฯ โรงทหารของกองทหารมหาดเล็กอยู่ที่โรงละครใหญ่หลังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นที่อยู่ของทหาร และสถานที่บัญชาการอยู่ที่ทิมพลชั้นเดียว ริมประตูพิมานไชยศรีฝั่งตะวันตก ต่อมารื้อทิมพลสร้างเป็นตึกแถว ใช้เป็นโรงทหารมหาดเล็ก (เมื่อไม่ได้เป็นโรงทหารมหาดเล็กแล้ว เป็นโรงเรียนราชกุมาร และต่อมาเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แผนกรัฏฐประศาสน์)

 

.. 2414

2414 - 1 สถาปนากองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ขึ้นเป็น

กอมปนีทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งตำแหน่งยศทหารเพิ่มเติม เช่น กอปอรัล (Corporal) - นายสิบโท เป็นต้น โดยมี ตำแหน่งแพทย์ประจำกองทหาร แบบกองทหารประเทศตะวันตก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งเดิมในระบบราชการทหารแบบเก่าไม่มีตำแหน่งแพทย์ประจำกองทหาร และแต่งตั้งหม่อมเจ้าสายในกรมหลวงวงศาธิราชสนิท (พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์) ดำรงตำแหน่งเป็น เซอเยน (Surgeon) แพทย์ทหารประจำกรมทหารมหาดเล็ก นับเป็นแพทย์ทหารพระองค์แรก

นายเจิม แสง-ชูโต บุตรของพระยาสุรศักดิ์มนตรี ได้เลื่อนเป็นหลวงศัลยุทธสรกรร ตำแหน่งนายกอมปนีที่ 6 แห่งกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์

 

2414 - 2 ประกาศเรื่องโรงเรียน

วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.. 2414 มีพระบรมราชโองการประกาศเรื่องโรงเรียน

...ให้ประกาศแก่หม่อมเจ้า หม่อมราชวงษ แลข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งได้นำบุตรทูลเกล้าฯ ถวายให้ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณในกรมมหาดเลกบ้าง ในกรมทหาร มหาดเลกรักษาพระองค์บ้าง มีเปนอันมาก...บันดาที่เข้ามารับราชการฉลองพระเดชพระคุณอยู่นั้น ที่ยังไม่รู้หนังสือไทย แลขนบธรรมเนียมราชการโดยมาก ที่รู้อยู่บ้างแต่ยังใช้อักษรเอกโทแลตัวสกดผิด ๆ ไม่ถูกต้องตามแบบอย่างก็มีอยู่มาก แลการรู้หนังสือนี้ก็เปนคุณสำคัญข้อใหญ่ เปนเหตุจะให้ได้รู้วิชาแลขนบธรรมเนียมต่าง ๆ จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดโรงสอนขึ้นไว้ที่ในพระบรมมหาราชวัง แล้ว

 

 

458 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

จัดคนในกรมอาลักษณ์ ตั้งให้เปนขุนนางพนักงานสำหรับเปนครูสอนหนังสือไทย แลคิดเลข ขนบธรรมเนียมราชการ...ครูนั้นจะให้สอนโดยอาการเรียบร้อย ไม่ให้ด่าตีหยาบคาย...ถ้าท่านทั้งปวงได้ทราบหมายประกาศนี้แล้ว จงมีใจยินดีหมั่นตักเตือนบุตรหลานของท่านทั้งปวงให้เข้ามาฝึกหัดหนังสือไทย ถ้าเล่าเรียนได้ชำนาญในการหนังสือแล้ว ความดีงามความเจริญก็จะมีแก่บุตรหลานของท่านทั้งปวง...

พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คัดเลือกบุตรหลาน ราชตระกูลและขุนนาง มาฝึกหัดเรียนรู้ในโรงเรียนของหลวงแบบตะวันตก 2 แห่งเป็นครั้งแรก ซึ่งการจัดการโรงเรียนในระยะแรกนี้เป็นหน้าที่ของกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ จนกระทั่งการโรงเรียนเจริญก้าวหน้าจึงแยกออกจากกรมทหารมหาดเล็กและตั้งเป็นกรมศึกษาธิการในปี พ.. 2430 ได้แก่

1. โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ เป็นโรงเรียนที่สอนวิชาความรู้ต่าง ๆ ด้วยภาษาอังกฤษ อยู่ในความปกครองของกรมทหารมหาดเล็ก มีครูฝรั่งชื่อฟรานซิส ยอร์ช แปตเตอร์ซัน โดยครูฝรั่งแต่งเครื่องยศทหารมหาดเล็ก แต่เปิดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป เพราะไม่มีผู้สมัครเรียน

2. โรงเรียนสอนภาษาไทย เป็นโรงเรียนที่สอนวิชาความรู้ต่าง ๆ ด้วยภาษาไทย อยู่ในความปกครองของกรมทหารมหาดเล็กเช่นกัน มีพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) เมื่อครั้งยังเป็นหลวงสารประเสริฐเป็นครู ในเบื้องต้นมีผู้สมัคร 10 คน ต่อมาภายหลังมีพระบรม-วงศานุวงศ์ บุตรหลานราชตระกูล ขุนนาง มาเรียนต่อที่โรงเรียนนี้กันมาก เมื่อเรียนจบแล้วก็มักเข้ารับราชการที่กรมทหารมหาดเล็กหรือกรมอื่น ๆ

 

หมายเหตุ

ผู้เรียบเรียงมีความเข้าใจว่า โรงเรียนคะเด็ดทหารมหาดเล็กนั้น เป็นชื่อเรียกโรงเรียนสอนภาษาไทยที่ผนวกการสอนวิชาทหารในกรมทหารมหาดเล็ก หากนักเรียนศึกษาเฉพาะวิชาสามัญ (หรือวิชาพลเรือน) จากโรงเรียนสอนภาษาไทยอย่างเดียว เมื่อจบการศึกษาแล้วจะเข้ารับราชการฝ่ายพลเรือน

โรงเรียนสอนภาษาไทยซึ่งเป็นโรงเรียนหลวงแบบตะวันตกที่เหลืออยู่แห่งเดียวในตอนต้นรัชกาลที่ 5 ระหว่าง พ..2414 - 2428 จึงมีหลายชื่อ ได้แก่ หลักสูตรวิชาพลเรือน (หรือวิชาสามัญ) บ้างเรียกว่าโรงเรียนสอนภาษาไทย โรงเรียนพระยาศรีสุนทรโวหาร โรงพระตำหนักสวนกุหลาบ ซึ่งหมายถึงโรงเรียนเดียวกัน และหากเป็นหลักสูตรวิชาทหารที่สอนร่วมกับกรมทหารต่าง ๆ จะเรียกตามชื่อกรมทหาร เช่น โรงเรียนคะเด็ดทหารมหาดเล็ก โรงเรียนคะเด็ดทหารหน้า

 

 

459 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

459_1

บรรยากาศการเรียนการสอนในโรงเรียน

ไม่ทราบปีและสถานที่ถ่าย

 

459_2

ที่มา : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ภ 002 หวญ 5/34

 

 

460 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

460_1

 

เสด็จประพาสอินเดีย เมื่อ พ.. 2414

 

460_2

 

 

461 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2414 - 3 เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศอินเดีย

วันที่ 16 ธันวาคม พ.. 2414 เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศอินเดียและพม่า โดยผ่านมะละกาและปีนัง เสด็จพระราชดำเนินกลับถึงสยามเมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.. 2415 รวมระยะเวลา 47 วัน

 

 

.. 2415

 

2415 - 1 หมอเทียนฮี้เข้ารับราชการ

กลุ่มมิชชันนารีอเมริกันส่งนายเทียนฮี้ไปเรียนวิชาแพทย์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา จนสำเร็จการศึกษา ได้คุณวุฒิ M.D. - Doctor of Medicine จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กเมื่อ พ.. 2414 เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ หมอเฮาส์ มิชชันนารีอเมริกัน ซึ่งเคยเป็นครูและเป็นผู้จัดส่งหมอเทียนฮี้ไปเรียนแพทย์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงพาไปพบพระยาสุรศักดิ์มนตรี (แสง บิดาของเจิม ซึ่งต่อมาเป็นเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี) ซึ่งเป็นนายพันโท ดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการกรมมหาดเล็ก แจ้งว่าหมอเทียนฮี้ได้เรียนวิชาแพทย์อย่างฝรั่ง รู้จนถึงการตัดผ่า ซึ่งยังไม่มีหมอไทยได้เล่าเรียนในเวลานั้น จะเป็นประโยชน์แก่ราชการกรมทหารมหาดเล็กที่ตั้งใหม่ พระยาสุรศักดิ์มนตรี (แสง) เห็นชอบด้วย จึงนำหมอเทียนฮี้เข้าถวายตัวทำราชการ ในเวลานั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ นายแพทย์ในกรมทหารมหาดเล็ก [เซอเยน Surgeon] จึงตั้งหมอเทียนฮี้เป็นตำแหน่งผู้ช่วยนายแพทย์ รับราชการในกรมทหารมหาดเล็กตั้งแต่ พ.. 2415 เป็นต้นมา (หมอเทียนฮี้ภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสารสินสวามิภักดิ์)

461_หมอเทียนฮี้ (พระยาสารสินสวามิภักดิ์)

 

หมอเทียนฮี้ (พระยาสารสินสวามิภักดิ์)และครอบครัว

 

 

462 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

.. 2416

 

2416 - 1 กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์

ต่อมายกกอมปนีทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ขึ้นเป็นกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์มีตำแหน่งนายแพทย์ในกรมทหารมหาดเล็ก แต่ยังไม่มีการตั้งราชทินนามประจำตำแหน่ง เพราะหม่อมเจ้าสายรับราชการในตำแหน่งนายแพทย์และให้นายทหารในกรมทหารมหาดเล็กมีตำแหน่งเป็น ราชองครักษ์ ขึ้นเป็นครั้งแรก

ในปีนี้ พระยาสุรศักดิ์มนตรี (แสง) ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่และปอดบวม พระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หลวงสิทธิสาร หมอกาแวน (นายแพทย์ชาวอังกฤษ) ซึ่งเป็นหมอหลวงประจำพระองค์มารักษา และหลวงสรยุทธสรกรร (เจิม) บุตรชายได้เชิญหมอเทียนฮี้ ซึ่งเป็นหมอประจำกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์มาเป็นผู้ช่วยหมอกาแวน แต่ไม่สามารถรักษาได้ พระยาสุรศักดิ์มนตรี (แสง) ถึงแก่กรรมในปีนี้ และให้เปลี่ยนชื่อหลวงสรยุทธสรกรร เป็นหลวงศัลยุทธวิธีกรร (เนื่องจากมีสำเนียงซ้ำกับ

 

462_จมื่นสราภัยสฤษดิการ (เจิม)

จมื่นสราภัยสฤษดิการ (เจิม) ในปี พ.. 2416 หลังเป็นอุปทูตไปกรุงปัตตาเวีย

ที่มา : สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแคริบเบียนศึกษา

แห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ (KITLV)

 

 

463 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

หลวงสรรพยุทธสรกรร) และเลื่อนยศหลวงศัลยุทธวิธีกรร (เจิม) เป็นจมื่นสราภัยสฤษดิการตำแหน่ง Lieutenant (นายพันโท) แห่งกอมปนีที่ 6

โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษซึ่งอยู่ที่ตึกแถวสองชั้นด้านตะวันออก ริมประตูพิมานไชยศรี เลิกกิจการไป เปลี่ยนเป็นตึกบัญชาการกรมทหารมหาดเล็ก

 

2416 - 2 ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์

วันที่ 4 มิถุนายน พ.. 2416 ประกาศตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อจัดวางหลักเกณฑ์ระบบการจัดเก็บภาษีอากร ควบคุมเจ้าพนักงานภาษีอากรให้จัดส่งเงินรายได้แผ่นดินให้ตรงตามกำหนดเวลา ถ้าผู้ใดละเมิดจะถูกลงโทษ และประกาศตั้งเก็บภาษีศุลกากรร้อยชักสามในเขตกรุงเทพฯ

 

2416 - 3 พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

และประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.. 2416 มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ 2 โดยจัดขึ้นภายหลังเมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 20 พรรษา ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตน-ศาสดาราม แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน หลังจากทรงลาสิกขาแล้วจึงมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ 2 และเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ทรงประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมจากการหมอบเฝ้าเป็นการยืนเฝ้าตามตำแหน่ง ไม่ใช้ธรรมเนียมหมอบคลานอีกต่อไป โดยตราเป็นพระราชบัญญัติ และมีพระบรมราชโองการประกาศแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในวันบรมราชาภิเษก ความตอนหนึ่งว่า

 

...เลิกเปลี่ยนธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้นั้น ก็เพราะเพื่อจะให้เหนความดีที่จะไม่มีการกดขี่แก่กันในบ้านเมืองนั้นอีกต่อไป...ก็ในประเทศสยามนี้ ธรรมเนียมบ้านเมืองที่เปนการกดขี่แก่กัน อันไม่ต้องด้วยยุติธรรมนั้นก็ยังมีอยู่อีกหลายอย่าง หลายประการ จะต้องคิดลดหย่อนผ่อนเปลี่ยนเสียบ้าง แต่การที่จะจัดผลัดเปลี่ยนธรรมเนียมจะให้แล้วไปในครั้งเดียวคราวเดียวนั้นไม่ได้ จะต้องค่อยคิดเปลี่ยนแปลงไป ตามเวลาที่ควรแก่กาลที่จะเปลี่ยนแปลงได้ บ้านเมืองจะได้มีความเจริญสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไป...เพราะฉะนั้นจึงจะต้องละพระราชประเพณีเดิม ที่ถือว่าหมอบคลานเปนการเคารพอย่างยิ่งในประเทศสยามนี้เสีย...ให้พึงรู้ว่าการที่เปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ เลิกหมอบคลาน ให้ยืนให้เดินนั้น เพราะจะให้เหนเปนแน่ว่า จะไม่มีการกดขี่แก่กัน ในการที่ไม่เปนยุติธรรมอีกต่อไป เมืองใดประเทศใดผู้ที่เปนใหญ่ มิได้ทำการกดขี่แก่ผู้น้อย เมืองนั้นประเทศนั้นก็คงมีความเจริญเปนแน่...

 

 

464 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

464_พระราชพิธี

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2

 

 

.. 2417

 

2417 - 1 ตั้งคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน

หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทรงแต่งตั้งที่ปรึกษาราชการแผ่นดินขึ้น เรียกว่า เคาน์ซิล โดยมีพระราชประสงค์ว่า

...การเคาน์ซิลที่ทรงตั้งขึ้นไว้นี้ มีคุณ 2 ประการ ประการที่หนึ่ง ยอมให้มีอำนาทที่จะยุดหน่วง ขัดขวางพระเจ้าแผ่นดินได้ คือการใด ๆ ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงพระราชดำริห์เปนการไม่ถูกต้องยุติธรรม ราษฎรจะได้รับความเดือดร้อน...เปนที่ฝ่ายข้างเคาน์ซิลจะขัดอำนาจพระเจ้าแผ่นดิน...คนซึ่งเปนราชการก็ดี มิได้เปนราชการก็ดี เคาน์ซิลก็ต้องมีอำนาจที่จะขัดขวางปฤกษาการบังคับการ ตามซึ่งเหนชอบโดยยุติธรรม อย่าให้คด ๆ โกง ๆ

 

 

465 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ต่อเจ้าแผ่นดินได้เหมือนกัน...ไม่เปนคุณแก่แผ่นดิน ไม่เนรคุณแก่พระเจ้าแผ่นดิน ไม่เปนคุณแก่ราษฎรทั่วไป ก็จะต้องคัดค้านว่ากล่าวได้เตมอำนาททีเดียว ซึ่งว่ามานี้เปนอำนาทเคาน์ซิลทั้งสองประการ...

 

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.. 2417 พระราชบัญญัติเคาน์ซิลออฟสเตค คือ การตั้งที่ปฤกษาราชการแผ่นดิน จ.. 1236 และพระราชบัญญัติปรีวีเคาน์ซิล คือ การตั้งที่ปฤกษาในพระองค์ (หรือสภาองคมนตรีในปัจจุบัน) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.. 2417 ขึ้นอีกสภาหนึ่ง ทำงานร่วมกับสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (ต่อมาเป็นสภาเสนาบดีหรือคณะรัฐมนตรี)

 

...บ้านเมืองเราทุกวันนี้ ซึ่งในตาแลเหนว่ามีตึกขึ้นมาก มีถนนขึ้นมากนั้น เหนว่าเปนการเจริญในตา ก็แต่ถ้าจะคิดไปโดยจริง ๆ การใด ธรรมเนียมใดซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ยังเปนการเดือดร้อนแก่ราษฎรเปนอันมากอยู่ ก็มีหลายอย่างหลายประการ ก็ซึ่งตั้งเคาน์ซิลขึ้นไว้นี้ ก็เพราะประสงค์จะให้ช่วยอุดหนุนในการเรื่องนี้ ให้สำเรจไปได้ทีละสิ่งทีละคราว จนบ้านเมืองเปนความเจริญเข้า ราษฎรได้มีความศุขมากเมื่อเวลาไร เวลานั้นจะเปนชื่อเสียงปรากฏติดแผ่นดินอยู่ไม่รู้หาย...บ้านเมืองก็คงเจริญขึ้นเปนแน่...

 

นับเป็นการปฏิรูปครั้งสำคัญของการบริหารราชการแผ่นดินครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ซึ่งเดิมที่เป็นการว่าราชการโดยพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ตั้งแต่ปี พ.. 2417 นี้เป็นต้นไป การปฏิรูประบบราชการเป็นแบบใหม่ตามอย่างตะวันตกจึงดำเนินการไปอย่างรวดเร็ว

 

.. 2418

 

2418 - 1 ตั้งกองทหารช่าง

เพิ่มกองทหารช่าง 1 กองในกรมทหารมหาดเล็ก ทหารช่างมีหน้าที่ทำแผนที่แบบยุโรปมีนายอาลาบาสเตอร์เป็นที่ปรึกษา และเพิ่มตำแหน่งนายสัตวแพทย์ในกองทหารม้า นับเป็นจุดกำเนิดของกองทหารช่าง กรมแผนที่ทหาร และสัตวแพทย์

 

.. 2419

 

2419 - 1 ขยายกองทหารม้า

เนื่องจากมีจำนวนทหารเพิ่มมากขึ้น จึงรื้อคลังเชือกเก่าที่ตั้งอยู่ ณ ศาลาว่าการต่างประเทศในพระบรมมหาราชวัง ทำเป็นตึกใหญ่ 2 ชั้น สำหรับโรงทหารมหาดเล็ก และขยายกองทหารม้า

 

 

466 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

.. 2420

 

2420 - 1 ตราพระราชบัญญัติเป็นข้อบังคับสำหรับกรมทหารมหาดเล็ก จ.. 1239

ต่อมามีการตราพระราชบัญญัติเป็นข้อบังคับสำหรับกรมทหารมหาดเล็ก จ.. 1239กฎหมายการปกครองอย่างใหม่ขึ้นในกรมทหารมหาดเล็ก เพื่อแก้ไขปัญหาราชการทหารที่ทรงทดลองจัดในกรมทหารมหาดเล็กเมื่อ พ.. 2413 ข้อบังคับนี้เป็นกฎหมายสำหรับจัดระบบราชการทหารแบบใหม่ กำหนดกรอบการปฏิบัติของทหารแต่ละคนให้ทำตามกฎหมาย มีการแบ่งโครงสร้างการบังคับบัญชาแบบประเทศตะวันตก แบ่งกรมทหารมหาดเล็กออกเป็นกองร้อยหลายประเภท เช่น กองร้อยทหารราบ กองทหารม้า กองทหารช่าง กองแตรวง กองกลางและผู้ช่วยรบ มีตำแหน่งเจ้าพนักงานใช้จ่าย (เหรัญญิก) ตำแหน่งเจ้าพนักงานยุทธภัณฑ์ ตำแหน่งแพทย์มี 2 ตำแหน่งคือเซอเยน” (Surgeon) 1 ตำแหน่ง และฮอสปิเติลซายัน” (Hospital Sergeant) 1 ตำแหน่ง มีหน้าที่ตรวจรักษาทหารป่วย และผลัดเปลี่ยนเวรกันนอนโรง (หมายถึงโรงทหาร) คนละ 7 วัน ความย่อพระราชบัญญัติเป็นข้อบังคับสำหรับกรมทหารมหาดเล็กที่เกี่ยวกับงานด้านการแพทย์ มีดังนี้

 

...มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสั่งว่า ทรงพระราชดำริห์ด้วยกรมทหารมหาดเลกรักษาพระองค์ซึ่งได้จัดขึ้นไว้ให้มีเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง เครื่องแต่งตัวดีกว่ากรมทหารอื่น ๆ ทั้งปวง เพราะทรงพระราชดำริหเหนว่า ทหารมหาดเลกนี้ สำหรับแห่เสดจสำหรับตามเสดจพระราชดำเนินในที่ใกล้พระองค์ แลอยู่เวรรักษาพระองค์ในพระบรมมหาราชวัง จึ่งได้จัดบุตรข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยและบุตรมหาดเลกให้เปนทหารรับราชการเรียบร้อยได้มาช้านาน บัดนี้การร่วงโรยลงหาได้เหมือนแต่ก่อนไม่ เปนเหตุเพราะนายทหารถือเปรียบแก่งแย่งกันไป การบังคับบัญชาก็ไม่เปนสิทธิขาดออฟฟิเซอแลทหารเลวก็ไม่ใคร่จะมาอยู่เวร เปนแต่รับเงินเดือนอยู่ป่วยการโดยมาก ไม่มีประโยชนอะไรเปนที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศเปนอันมาก ทรงพระดำริห์เหนอยู่ว่า ออฟฟิเซอซึ่งเปนคนดีมีใจรักษาใคร่ต่อราชการก็มีอยู่หลายนาย ที่ทรงทราบก็มีโดยมาก ที่ยังไม่ได้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทก็ยังมีอยู่บ้าง ถ้าทิ้งไว้อย่างนี้ก็เหนว่าไม่ควร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานกระแสพระราชดำริห์ซึ่งจะจัดการในกรมทหารมหาดเลกต่อไป ในการชั้นต้นนี้ก่อน ให้ออฟฟิเซอผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงรีบจัดการ และประพฤติตามกระแสพระราชดำริห ซึ่งจะว่าต่อไปข้างท้ายนี้ทุกประการ...

 

ทหารป่วยเจบ

ข้อ 22 บันดาทหารซึ่งเข้าเวรป่วยไข้ ฤๅถึงเวรแล้ว บอกป่วยจะเข้ามารับราชการไม่ได้ ให้ผู้รับพระบรมราชโองการจัดหมอคนหนึ่ง แลนอนกอมิชันออฟฟิเซอ นาย 1 ไปตรวจอาการ มาแจ้งความต่อผู้รับ

 

 

467 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

พระบรมราชโองการ ถ้าทหารปรัยเวศ ฤๅนอนกอมิชันออฟฟิเซอ ป่วยไข้ไปประการใด ถ้ามีหมอรักษาอยู่แล้วก็แล้วไป ถ้าไม่มีหมอรักษา ให้ผู้รับพระบรมราชโองการ แลนายกัมปนีช่วยเปนธุระขวนขวายที่จะให้ได้หมอรักษา ถ้าเจ็บอยู่กับบ้าน อย่าให้ หมอในโรงไปอยู่ เปนแต่ให้ไปตรวจเปนเวลา ถ้าเจ็บใน โรงหมอในโรงพิทักษรักษาให้จงดี ถ้าเปนกอมิชันออฟฟิเซอ ให้นำอาการขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้หาหมอไปช่วย พิทักษรักษาตามสมควรที่จะต้องการ ถ้าออฟฟิเซอก็ดี ทหารปรัยเวศ ก็ดี ไม่ป่วยแกล้งบอกว่าป่วยบิดเบือนต่อราชการ ควรจะทำโทษ ฤๅนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาก็ให้ทำโทษ ฤๅนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาตามสมควร...

 

 

.. 2422

 

2422 - 1 จมื่นสราภัยสฤษดิการ (เจิม แสง-ชูโต)

เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นจมื่นไวยวรนาถ

หนังสือ ประวัติการของจอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี บรรยายว่า สีหน้าทั้งสามท่านเศร้าหมองขณะกำลังเผชิญปัญหาทหารทั้งกองทัพป่วยเป็นไข้มาลาเรีย เพราะขุนนางเมืองพิชัยไม่รับผิดชอบ ทำให้เหลือยาควินินเพียงขวดเดียวสำหรับคนป่วยนับพันคน

467_ซ้าย - หมอเทียนฮี้

ซ้าย - หมอเทียนฮี้

ขวา - จมื่นไวยวรนาถ (เจิม)

ยืน - พันตรีนายจ่ายวด (ศุข ชูโต)

ที่ค่ายเมืองซ่อน ในสงครามปราบฮ่อ

 

 

468 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

.. 2423

 

2423 - 1 สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์

และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ สิ้นพระชนม์

เกิดกรณีอุบัติเหตุเรือพระประเทียบล่มขณะเสด็จแปรพระราชฐานไปบางปะอิน สมเด็จ-พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ สิ้นพระชนม์ทั้งสองพระองค์ พระยามหามนตรี (อ่ำ) ผู้บังคับการกรมทหารหน้าต้องโทษรับพระราชอาญา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยานรรัตนราชมานิต (โต) กับจมื่นไวยวรนาถ (เจิม) เป็นผู้บัญชาการที่ 1 และ 2 ช่วยกันจัดราชการกรมทหารหน้าแทนพระยามหามนตรี จมื่นไวยวรนารถจึงเรียกประชุมนายทหารกรมทหารหน้าทั้งหมดเพื่อจัดราชการ พบการฉ้อราษฎร์บังหลวงของพระยามหามนตรี (อ่ำ) และนายทหารอื่นอีก 6 คน จึงถอดออกจากราชการและชดใช้เงินคืนจำนวน 194 ชั่ง 17 บาท

นอกจากนี้ ระบบจัดการแบบภายใต้กฎหมายจารีต (กฎหมายตราสามดวง) ยังไม่มีกฎข้อบังคับสำหรับกรมทหารหน้าและทหารนคราภิบาลที่มีหน้าที่ลาดตระเวนเป็นยามรักษาการณ์ตามถนนมาก่อน ทั้งสองท่านจึง คิดทำกฎข้อบังคับสำหรับกรมทหารหน้าและทหารฝ่ายนคราภิบาล (กรุงเทพฯ) ขึ้น และขอรับพระราชทานคนในกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์มาช่วยราชการ 7 คน ต่อมา จมื่นไวยวรนารถเห็นว่าจำนวนทหารหน้าไม่เพียงพอต่อความพร้อมในการสงคราม จึงขอพระราชทานพระมหากรุณาประกาศรับสมัครทหารไปทั่วพระราชอาณาจักร มีคนสมัครกว่า 5,000 คน ประจวบกับต้องใช้กำลังคนในการพระเมรุสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ และงานสมโภชพระนครครบ 100 ปี (.. 2425) จึงได้ใช้ทหารอาสาสมัครเหล่านี้พอดี

 

2423 - 2 พระราชบัญญัติทหารหน้า

มีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติทหารหน้าขึ้น โดยยุบรวม 4 กรมย่อยในกรมทหารหน้า ได้แก่ กองทหารอย่างยุโรป กองทหารมหาดไทย กองทหารกลาโหม และกองทหารเกณฑ์หัด รวมไว้ในกรมทหารหน้ากรมเดียว และปฏิรูประบบบริหารจัดการใหม่ ให้แบ่งเป็นหมวด หมวดละ 100 - 200 คน ในแต่ละหมวดมีตำแหน่งคณารักษ์ คณานุรักษ์ สมุหบาญชีรองสมุหบาญชี นายหมวด รองหมวด ผู้ช่วยหมวด และให้สิบเหล่ารวมเป็นหนึ่งแสนยากร (หรือกองพัน) ในหนึ่งแสนยากรให้มีแสนยาธิบดี แสนยานุบดี พลารักษ์ ถือกฎหมาย ถือบาญชี เก็บเงิน เก็บสรรพยุทธ ตระลาการ สารวัด เป็นต้น ที่สำคัญคือ พระราชบัญญัติทหารหน้าฉบับแรก พ.. 2423 นี้ กำหนดให้มีตำแหน่งหมอ 2 คนในแต่ละกองพัน

 

 

469 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ตารางกำหนดตำแหน่งยศ ศักดินาในกรมทหารหน้าแนบท้ายพระราชบัญญัติทหารหน้า พ.. 2423

468

 

 

2423 - 3 สั่งเครื่องโทรเลขมาจากอังกฤษ

วันที่ 14 มีนาคม พ.. 2423

...พระยาสยามธุรพาห์ กงสุลฝ่ายสยาม ณ กรุงลอนดอน ส่งบาญชีแลเครื่องสายโทรเลขเข้ามา ณ กรุงเทพมหานคร เปนจำนวน สายลวด 319 ขด ยาว 140 ไมล์ อินสเลเตอ ใหญ่ 560 อินสเลเตอ เลก 280 สายเคเบิล 1500 ฟุต รวมค่าจ้างเช่าระวาง ค่าธรรมเนียม เปนเงิน 173 ชั่ง 14 ตำลึง 1 สลึง 424 ไพ...

 

 

.. 2425

 

2425 - 1 สร้างโรงทหารหน้า

จมื่นไวยวรนาถเป็นผู้บังคับการกรมทหารหน้าเพียงผู้เดียว โดยเห็นว่าจะต้องทำที่อยู่ให้แข็งแรง จะได้ปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะมีคนมาสมัครเป็นทหารจำนวนถึงห้าพันคน จึงสำรวจพื้นที่ที่เหมาะจะสร้างเป็นโรงทหาร พบว่า ฉางหลวงเก่าสำหรับเก็บข้าวเป็นเสบียงยามเกิดศึกสงคราม 7 ฉาง และวังเจ้านายเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมหลายวัง อยู่ระหว่างศาลหลักเมืองและสะพานช้างโรงสี กว้าง 3 เส้น 10 วา ยาว 5 เส้น เหมาะที่จะทำเป็นโรงทหารหน้าได้ ให้ทหารอยู่ได้ 4 หมู่เป็นกองทัพน้อย เพื่อจะได้รักษาความสงบในพระนคร จึงให้นายโยอาคิม แกรซี สถาปนิกออกแบบเป็นอาคาร 3 ชั้น ค่าก่อสร้างราว 5,000 ชั่ง หรือ 400,000 บาท (ปัจจุบันคืออาคารว่าการกระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย ข้างศาลหลักเมือง) ตามแบบแปลนระบุว่า ...อาคารด้านขวา ชั้นล่างเก็บปืนใหญ่ ชั้นบนเป็นที่อยู่ของทหารปืนใหญ่...โรงใหญ่ข้างขวาแบ่งเป็น ห้องนายแพทย์ทหาร และโรงพยาบาลทหาร...

จากการสืบค้นครั้งนี้ ไม่พบเอกสารจดหมายเหตุใด ๆ ที่กล่าวถึงโรงพยาบาลทหารหน้า ณ ถนนตรีเพชรและพบว่ายังไม่มีการตัดถนนตรีเพชรแต่อย่างใด

โรงทหารหน้าสร้างระหว่าง พ.. 2425 - 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.. 2427 สันนิษฐานว่า จมื่นไวยวรนาถ

 

 

470 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

470

 

 

471 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ขอพระราชทานโอนหมอเทียนฮี้จากกรมทหารมหาดเล็กมารับราชการที่โรงพยาบาลทหารหน้า แต่การโรงพยาบาลทหารหน้ายังไม่ทันจะมั่นคงก็เกิดสงครามปราบฮ่ออีกในปี พ.. 2428 ต้องยกทัพฝ่ายเหนือขึ้นไปปราบฮ่อและมีหมอเทียนฮี้ติดตามไปด้วย การโรงพยาบาลทหารหน้าจึงระงับไป

 

2425 - 2 จัดตั้งโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมแก่พระสงฆ์

วันที่ 7 ตุลาคม พ.. 2425 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ทรงรับผิดชอบแผนกการศึกษาของกรมทหารมหาดเล็ก ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาให้กับกุลบุตร ส่วนพระสงฆ์นั้น มีการฟื้นฟูโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมแก่พระสงฆ์ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อมาเจริญขึ้น จึงย้ายออกไปจัดตั้งเป็นมหาธาตุวิทยาลัย ณ วัดมหาธาตุ พระองค์มีหนังสือกราบบังคมทูลเรื่องการสอนหนังสือธรรมะและอาหารสำหรับให้พระและสามเณรฉัน ความว่า

 

...ด้วยการสอนหนังสือพระสงฆ์ที่ศาลาน่าวัดพระศรีรัตน์ศาสดารามทุกวันนี้ร่วงโรยมาช้านาน โดยเหตุไม่มีผู้เปนธุระสั่งสอนแขงแรง และสำรับโรงวิเสศหามาเลวนัก แลไม่ภอที่พระสงฆ์สามเณรจะฉันด้วย การนี้ถ้าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแล้ว ข้าพระพุทธจะขอรับพระราชทานสนองพระเดชพระคุณให้หาสำรับที่โรงครัวทหารแทนสำรับโรงวิเสศ...

 

471_พระตำหนักสวนกุหลาบ

พระตำหนักสวนกุหลาบ

ที่มา : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ภ 002 หวญ 44113

 

 

472 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

.. 2426

 

2426 - 1 ตั้งกองทำแผนที่ และย้ายโรงเรียนสอนภาษาไทยไปที่พระตำหนักสวนกุหลาบ

ตั้งกองทำแผนที่โดยแยกจากกองทหารช่างในกรมทหารมหาดเล็ก ส่วนโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษได้เลิกไปเมื่อ พ.. 2416 เหลือเฉพาะโรงเรียนสอนภาษาไทยที่ยังคงสอนอยู่ ณ โรงละคร เรียกขานว่า โรงเรียนพระยาศรีสุนทรโวหาร ซึ่งได้รับความนิยม มีผู้มาเรียนมาก สถานที่เดิมจึงคับแคบ ต่อมาได้รับพระราชทานพระตำหนักสวนกุหลาบเป็นที่ตั้งของโรงเรียน ราว พ.. 2428 เมื่อย้ายไปที่ใหม่แล้ว จึงเรียก โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ และเมื่อตึกโรงทหารใหญ่ ณ คลังเชือก แล้วเสร็จ จึงให้ย้ายกองทหารทั้งหมดในกรมทหารมหาดเล็กมาอยู่รวมกัน

 

2426 - 2 จ้างหมอรักษาชาวยุโรปทำงานในกรมไปรษณีย์และกรมโทรเลข

วันที่ 3 กันยายน พ.. 2426 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า

 

ด้วยทุกวันนี้ คนยุโรปซึ่งจะมาเปนพนักงานโทรเลขมีมาก แลต้องมักทำสัญญาให้กับคนยุโรปนั้น ๆ ว่า ถ้าป่วยไข้ เงินค่าหมอรักษาแลค่ายาทั้งปวง คอเวอนเมนต์สยามต้องออกให้ดังที่ได้ทำสัญญา ให้เสมียนฝรั่งเศสที่แล้วมานี้เปนต้น แลยังเสมียนชาวอังกฤษจะเข้ามาอีกต่อไป ก็คงจะเอา

 

472_กรมไปรษณีย์โทรเลขกลาง

 

กรมไปรษณีย์โทรเลขกลาง

ที่มา : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ 47M00028

 

 

473 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

สัญญาดังนี้ แลคนยุโรปที่เปนพนักงานโทรเลขอยู่แต่เดิม ก็ร้องเคลมถึงการป่วยไข้จะต้องเสียเงินหลวงดังนี้เหมือนกัน...ก็เปนทางที่จะให้เกิดเสียพระราชทรัพย์อันไม่สมควรจะต้องเสียมาก เพราะเขาอ้างเซอติวิเกตของหมอที่ตรวจแลรักษานั้นเปนหลักถาน...ฝ่ายหมอที่ต้องเรียกมาตรวจเปนเวลาเปนครั้งคราวนั้น ก็ต้องเรียกค่าจ้างรักษาแรง เปนต้นว่ามาเยี่ยมครั้งหนึ่งเปนเงินห้าเหรียญเข้าไปแล้ว...ข้าพระพุทธเจ้าเหนด้วยเกล้าว่า ในเรื่องหมอเรื่องยาในกรมโทรเลขนี้คงจะมีมากไม่มีที่สิ้นสุด...ครั้นคิดจะหาหมอจ้างหมอไว้สำหรับกรมไปรษณียและกรมโทรเลข เปนต้นว่า กรมทหาร ข้าพระพุทธเจ้าก็ยังเหนว่าการที่จะต้องทำนั้น ยังน้อยนัก ไม่สมประโยชน์จนถึงมีหมอไว้สำหรับกรม...จะขอพระบรมราชานุญาต 2 อย่างดังนี้

อย่าง 1 ถ้าคนยุโรปที่เปนพนักงานไปรษณียแลโทรเลขจะป่วยไข้ลง ขอรับพระราชทานหมอหลวงคนยุโรป ที่เขาเชื่อถือถึงที่จะต้องไม่มีความต่อไป มีหมอกาวัน เปนต้น มาเยี่ยมมารักษาแลให้เซอติวิเกตว่า ผู้นั้นได้เปนโรคอย่างนั้นจริงตลอดทั่วไปทุกคน

อย่าง 1 ขอรับพระราชทานทำสัญญาเหมาจ้าง จ้างหมอเชลยศักคนยุโรปที่เปนที่เชื่อถือของคนยุโรปได้ กรมไปรษณียแลโทรเลขจะให้เงินเดือนเปนปี...เจ็บไข้มากน้อยเท่าใดต้องรักษาสิ้น ไม่ต้องเรียกเงินรักษารายตัวแลค่าเยี่ยมอื่น ๆ แลหมอนั้นต้องให้เซอติวิเกต ว่าคนนั้นป่วยไข้อย่างนั้น ๆ จริง...

 

.. 2427

 

2427 - 1กรณี ร.. 103ความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงเรื่องราชการแผ่นดิน

วันที่ 8 มกราคม ร.. 103 (.. 2427) บรรดาเจ้านายและข้าราชการจำนวนหนึ่งกราบบังคมทูลถวายความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงเรื่องราชการแผ่นดิน โดยอ้างถึงสาเหตุอันตรายต่อกรุงสยาม ทางที่จะป้องกันอันตราย ความเจริญของประเทศยุโรปและความไม่เจริญของเอเชีย ซึ่งการปกครองของกรุงสยามเป็นช่องที่ยุโรปจะได้เบียดเบียนโดยอ้างถึงประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ และเสนอให้เปลี่ยนจากระบบ Absolute Monarchy เป็นระบบ Constitutional Monarchy พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาตอบในเรื่องนี้ ความตอนหนึ่งว่า

 

...การซึ่ง เราขวนขวายตะเกียกตะกายอยู่ในการที่จะเปลี่ยนแปลงมาแต่ก่อน จนมีเหตุบ่อย ๆ...แต่เวลาหนึ่งสองปีนี้ดูเป็นโอกาสดีขึ้นมาก ที่ควรจัดการต่อไปอีกได้ เรานี้ได้คิดอยู่เปนนิจที่จะจัดการตามเวลาที่จะเปนได้...ความต้องการของเมืองเรานั้นต้องการอันใด ที่ผู้ซึ่งไม่ได้อยู่ใกล้ชิดต่อราชการ จะรู้แน่ได้โดยยาก...ความต้องการของเมืองเราในเวลานี้ ที่เป็นที่ต้องการ

 

 

474 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

สำคัญนั้น คือ คอเวอนเมนต์รีฟอม จำเป็นที่จะให้พนักงานของข้าราชการแผ่นดินทุก ๆ กรมทำการได้เต็มหน้าที่ และให้ประชุมปรึกษาหารือกัน ทำการเดินให้ถึงกันโดยง่ายโดยเร็ว...ในการจัดตำแหน่งเสนาบดี...สำรับเก่าให้กลับทำการอย่างใหม่ได้จริงนั้นไม่ยาก แต่เพียงเคยเป็นออปโปสิชั่น มาเสียแต่ก่อน...เป็นการเหลือกำลังที่จะทำไปได้ก็มี...การที่จะเปลี่ยนแปลงท่านในสำรับเก่านี้จะทำการได้หรือไม่ เมื่อทำการไม่ได้แล้วก็มีช่องเดียวแต่จะต้องรีไซน์ การที่มินิสเตอร์ จะรีไซน์พร้อมกันมาก ๆ ไม่เคยมีในเมืองไทยเลย...เราจึงขอบอกท่านทั้งปวงว่า การเรื่องนี้เรากำลังได้คิดจะจัดอยู่ทีเดียว เมื่อท่านทั้งปวงช่วยคิดแล้ว จงคิดการเรื่องนี้เถิด...เลือกเอาภาระที่สมควรแก่บ้านเมือง...

คอเวอนเมนต์รีฟอม นี่แหละเป็นต้นเหตุที่จะจัดการทั้งปวงได้สำเร็จโดยตลอด ถ้าการเรื่องนี้ยังไม่เป็นการเรียบร้อยได้แล้ว การอื่น ๆ ยากนักที่จะตลอดไปได้...

 

นับแต่เหตุการณ์นี้ จึงทรงยกระดับการจัดการอย่างใหม่ขึ้น เป็นการแก้ไขระบบบริหารราชการแผ่นดิน มีพระดำรัสแถลงพระบรมราชาธิบายการแก้ไขการปกครองแผ่นดิน มีความสำคัญบางตอนดังนี้

 

...ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติ รับหน้าที่อันใหญ่ยิ่งมาจนถึงบัดนี้ก็กว่าสิบเก้าปีแล้ว ในพนักงานที่จะบำรุงรักษาแผ่นดิน...ส่วนตัวข้าพเจ้าเองรู้สึกว่าได้รับความหนักมาจำเดิมตั้งแต่ได้นั่งในเสวตรฉัตรจนถึงบัดนี้ แต่ความหนักนั้นเปลี่ยนไปต่าง ๆ ไม่เหมือนกันใน สามสมัย คือ แรก ๆ แลกลาง ๆ แลบัดนี้ เพราะได้ตั้งอยู่ในตำแหน่งสำคัญเช่นนี้มาช้านาน ได้รู้ทางราชการทั่ว ถึงทดลองมาแล้ว จึ่งเห็นว่า การปกครองในบ้านเมืองเรา ซึ่งเปนไปในประจุบันนี้ยังไม่เปนวิธีการปกครองที่จะให้การทั้งปวงเปนไปสดวกได้แต่เดิมมาแล้ว ครั้นเมื่อล่วงมาถึงประจุบันนี้ บ้านเมืองยิ่งเจริญขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่า การปกครองอย่างเก่านั้นก็ยิ่งไม่สมกับความต้องการของบ้านเมืองหนักขึ้นทุกที จึ่งได้มีความประสงค์อันยิ่งใหญ่ ที่จะแก้ไขธรรมเนียมการปกครอง ให้สมกับเวลา ให้เปนทางที่จะเจริญแก่บ้านเมือง ได้คิดแลได้พูดมาช้านานแต่กาลหาตลอดไปได้ไม่ ด้วยมีเหตุขัดขวางต่าง ๆ เปนอันมาก แลการที่จะจัดนั้นก็เปนการหนัก ต้องอาไศรยกำลังสติปัญญาแลความซื่อตรงความจงรักภักดีของท่านทั้งปวง ผู้ซึ่งจะรับตำแหน่งจัดการทั้งปวงนั้นเต็มความอุสาห วางเปนแบบแผนลงไว้ได้แล้ว การทั้งปวงจึ่งจะเป็นไปได้สดวกตามความประสงค์...

 

 

475 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ในพระดำรัสแถลงพระบรมราชาธิบายการแก้ไขการปกครองแผ่นดิน มีเรื่องของ กรมหมอ หรือ กรมแพทยาโรงพระโอสถ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาพยาบาลในราชสำนัก ความว่า

 

...อนึ่งกรมหมอนั้น แต่เดิมเปนหมอสำรับว่าความพวกหนึ่ง มีเจ้ากรมซ้ายขวา ปลัดทูลฉลองซ้ายขวา ปลัดนั่งศาลซ้ายขวา อีกพวกหนึ่งเปนหมอโรงพระโอสถ แต่พวกแรกนั้นเลิกเสีย ไม่ได้ว่าความตามที่ว่ามาแล้ว แต่ยังคงแบ่งเป็น 2 พวกอยู่ พวกหนึ่งเรียกว่า หมอศาลา พวกหนึ่งเรียกว่า หมอโรงใน คำซึ่งเรียกว่าหมอศาลานั้น จะใช้สำหรับหมอที่ว่าความมาแต่เดิม เป็นพวกหมอนั่งศาล ฤๅจะเปนพวกนอกสำหรับจ่ายยารักษาพระบรมวงศานุวงษ์ข้าราชการตามที่เข้าใจกันอยู่โดยมาก ก็ไม่ได้ความแน่ แต่ หมอโรงใน คือโรงพระโอสถนั้น คงเป็นหมอสำหรับเจ้าแผ่นดิน แต่ถึงจะอย่างไร ๆ ในการที่ใช้อยู่ประจุบันนี้ไม่ได้เลือกว่า หมอศาลาแลโรงพระโอสถ ใช้ปนกันไปหมดตามแต่ที่ต้องการ ถ้าจะคิดอีกอย่างหนึ่งว่า จะมี โรงหมอสำหรับรักษาราษฎร ทั้งปวง จะใช้หมอศาลา ก็ไม่ปรากฏว่ามีโรงหมอเช่นนั้นแต่ก่อนมาเลย พึ่งมามีขึ้นแต่โรงหมอที่ท่าพระ สำหรับรับคนในพระบรมมหาราชวังป่วยเจ็บ แต่ภายหลังก็กลายเปนเรือนหมออยู่ไม่ได้คงตามที่ตั้งเดิม แลมีโรงรักษาคนเจ็บที่โรงธรรมวัดสุทัศน์ ก็เปนการย่อ ๆ เล็กน้อยแล้วเลิกไป พึ่งจะเกิดโรงพยาบาลซึ่งตั้งขึ้นใหม่ในเร็ว ๆ นี้ การโรงพยาบาลนี้คิดจะให้แพร่หลายไปทั่วพระราช-อาณาเขตร์ ก็คงจะต้องเป็นการใหญ่ จะต้องใช้หมอประจำโรงพยาบาลนั้นมาก...

 

2427 - 2 ร่วมแสดง Health Exhibition ณ ประเทศอังกฤษ

วันที่ 1 พฤษภาคม พ.. 2427 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร มีหนังสือกราบบังคมทูลว่า สิ่งของที่จะส่งไปใช้ในการ Health Exhibition ได้จัดเรียบเรียงไว้เรียบร้อยแล้วซึ่งงานดังกล่าว จัดขึ้น ณ ประเทศอังกฤษ

 

2427 - 3 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโรงทหารหน้า

วันที่ 18 กรกฎาคม พ.. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงทหารหน้าที่สร้างใหม่แล้วเสร็จ ค่าก่อสร้างรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,000 ชั่ง(560,000 บาท) เครื่องตกแต่งและเครื่องประกอบเป็นเงินประมาณ 125 ชั่ง (10,000 บาท)

 

2427 - 4 จุดเริ่มต้นการปกครองแบบเทศาภิบาล (Territory Method)

ได้เกิดข้อพิพาทระหว่างเจ้าเมืองเชียงใหม่กับคนพม่าในบังคับของอังกฤษที่เข้ามาทำป่าไม้ในล้านนา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงส่งข้าหลวงไปประจำเมืองเชียงใหม่เพื่อชำระคดีความ และใน พ.. 2427 ทรงแต่งตั้งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิชิตปรีชากร ไปเป็นข้าหลวงประจำเมืองเชียงใหม่ เพื่อปกครองแทนเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่เดิม การ

 

 

476 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ส่งข้าหลวงไปจากส่วนกลางเพื่อปกครองหัวเมืองถือเป็น จุดเริ่มต้นของการปกครองแบบเทศาภิบาล (Territory Method)

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.. 2427 มีพระราชหัตถเลขา ที่ 542/45 เล่ม 9 สั่งราชการแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ เสนาบดีกรมมหาดไทย ผู้รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายเหนือว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิชิตปรีชากรไปสำเร็จราชการ ณ เมืองเชียงใหม่ และให้พระเจ้าเชียงใหม่ปฏิบัติตาม ดังนี้

ทูล สมเดจพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์

 

...ขอให้ท่านทรงศุภอักษรชี้แจงการถึงเจ้านครเชียงใหม่ว่า หนังสือสัญญาที่ทำขึ้นใหม่กับอังกฤษครั้งนี้ มีข้อเปลี่ยนแปลกไปกว่าเดิมบ้าง... ข้าราชการทั้งในกรุงแลที่เมืองเชียงใหม่ที่ยังไม่ทราบข้อความตามหนังสือสัญญาใหม่ชัด กลัวจะประพฤติราชการหนัก ๆ เบา ๆ ตึง ๆ หย่อน ๆ ไป ก็จะเสียอำนาจบ้านเมืองเหนว่า กรมหมื่นพิชิตปรีชากรเข้าใจในการหนังสือสัญญาครั้งนี้ แลทราบกฎหมายแบบอย่างกระบวนถ้อยความมาก ควรจะขึ้นมาชี้แจงการให้พระเจ้านครเชียงใหม่ทราบ แลจัดการวางแบบอย่างศาลต่างประเทศที่เมืองเชียงใหม่ไว้ให้เรียบร้อยสืบไป ถ้ากรมหมื่นพิชิตปรีชากรชี้แจงการอย่างไร ให้พระเจ้านครเชียงใหม่เชื่อฟัง แลมีข้อความขัดข้องประการใด ก็ให้ปฤกษาหาฤๅกรมหมื่นพิชิตปรีชากรฯ จะขึ้นไปทางเมืองตาก เมืองเถิน พักอยู่ ณ เมืองนครเชียงใหม่ แล้วจะออกไปเมืองมาลแมน เมืองร่างกุ้ง กลับมาโดยทางทะเลขอให้ทรงทำตราถึงพระยาราชสัมภาภกร แลพระยาสุจริตรักษาแลตราอื่น ๆ ให้ตลอดตามที่จะต้องการ ให้ได้ขึ้นไปเสียในเรว ๆ นี้ให้จงได้

 

ทูลมา ณ วันที่ 2 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแมเบญจศก ศักราช 1245

สยามินทร์

 

 

หมายเหตุ

การปกครองแบบเทศาภิบาล (Territory Method) เป็นการปกครองแบบตะวันตกตามแบบประเทศเยอรมนี มีหัวใจสำคัญคือ รวมเมืองหลาย ๆ เมืองให้เป็น 1 มณฑล แต่ละมณฑลมีขุนนางเทศาภิบาลเป็นผู้มีอำนาจ สามารถสั่งราชการผู้ว่าราชการเมือง (เจ้าเมือง) ของมณฑลที่ปกครองได้ โดยขุนนางเทศาภิบาลขึ้นตรงต่อเสนาบดีมหาดไทย ขุนนางเทศาภิบาลเทียบเท่าตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยในปัจจุบัน

ในระบบการปกครองแบบเก่า ผู้ว่าราชการเมือง (เจ้าเมือง) ปกครองแต่ละเมืองขึ้นตรงต่อเสนาบดีมหาดไทย เนื่องจากจำนวนเมืองมีมาก เสนาบดีมหาดไทยจึงสั่งราชการกำกับแต่ละเมืองได้ยาก การจัดรวมเมืองเป็นมณฑลและให้อำนาจสั่งราชการกับขุนนางเทศาภิบาล ทำให้การควบคุมกำกับผู้ว่าราชการเมืองมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

 

477 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2427 - 5 สารบาญชีสำหรับส่งไปรษณีย์ จ.. 1246 และทำป้ายเลขที่บ้าน

วันที่ 27 มีนาคม พ.. 2427 มีประกาศจัดทำสารบาญชีสำหรับส่งไปรษณีย์ คือ การจัดทะเบียนบ้านและติดเลขที่บ้าน เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ความตอนหนึ่งว่า

แต่เดิมได้ทรงพระราชดำริว่า ธรรมดาถ้าการค้าขายเจริญขึ้นในประเทศใดแล้ว ประเทศนั้นยอมจัดการตั้งไปรสนีย์แลโทรเลข เพื่อเปนการบำรุงรักษาช่วยอุดหนุนทาง ซึ่งเปนการติดต่อชักจูง ให้สินค้าแลการค้าขายไปมาได้โดยสะดวกเปนทางเจริญแก่บ้านเมืองนั้น ๆ...จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการสายโทรเลขบอกข่าวธุระไปมาโดยทางไฟฟ้าตามสายลวดที่ไปถึงซึ่งกันแลกัน...สายโทรเลขนั้น เจ้าพนักงานก็ได้จัดการทำตั้งแต่กรุงเทพฯ ออกไปตามระยะหัวเมืองฝ่ายตวันออก ต่อกับสายโทรเลขของฝรั่งเศสเมืองเขมรแล้วสายหนึ่ง อีกสายหนึ่งตั้งแต่กรุงเทพฯ ออกไปตามระยะหัวเมืองฝ่ายตวันตก ต่อกับสายโทรเลขของอังกฤษ ณ เมืองทวายสายหนึ่ง เพื่อจะได้บอกคำโทรเลขไปมาทลุทั่วทุกประเทศ แลการต่อไปก็หวังพระราชหฤไทยจะให้ตั้งสายโทรเลขไปยังหัวเมืองสำคัญในพระราชอาณาเขตรทั่วไป เพื่อจะได้บอกข่าวราชการ

 

...ส่วนการไปรสนีย์ คือ การรับส่งหนังสือของผู้ที่มีใจปรารถนาจะใช้การส่งหนังสือไปมาถึงกัน เพื่อกิจธุระทั้งปวงจะได้สำเรจประโยชน์โดยสะดวก

 

477_สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ 47 M00027

ไปรษณีย์โทรเลขกลาง

ที่มา : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ 47 M00027

 

 

478 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

โดยเรวนั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานฉลองจัดการไปบ้างแล้ว แต่การไปรสนีย์ที่จะต้องส่งหนังสือไปมานั้น ผู้ที่มีความประสงค์จะมีหนังสือถึงผู้โน้นผู้นี้นั้น มักไม่ใคร่ทราบตำบลบ้านของผู้ที่ได้รับหนังสือแน่นอนแลไม่ใคร่จะทราบผลประโยชน์ของผู้นั้น ๆ ตลอดทั่วไป มีเรื่องการค้าขายเปนต้น ฝ่ายเจ้าพนักงานไปรสนีย์จะต้องส่งหนังสือไปยังผู้ที่จะได้รับนั้น ก็มักเปนการคลาดเคลื่อนต้องกันหาตำบลบ้านให้ทราบชัดเสียก่อนเปนการลำบากช้าเสียเวลา...จึ่งได้ทรงพระราชดำริหว่า ควรจะต้องมีบาญชีสารบาญตำบลแลเจ้าของที่อยู่ตามสมควรให้ได้ มีว่าบ้านในตำบลนั้นมีเลขหมายที่เท่านั้น แล้วจึ่งตีป้ายหมายเลขเรียงเปนลำดับกำกับบ้านเปนตำบล ๆ แล้วจะได้ลงในบาญชีสารบาญว่า นายนั่นบุตรคนนั้นมีการค้าขายทำมาหากินสิ่งนั้นอย่างนั้นฤๅขึ้นอยู่กับผู้นี้ผู้นั้นอยู่ในบ้านหมายเลขที่เท่านั้น กรอกถนนตำบลบ้านคลองบางนั้น ๆ แต่ที่พอจะมีประโยชน์ตามสมควร ส่วนซึ่งเกี่ยวในตำแหน่งราชการนั้น ก็ควรจัดลงตำแหน่งตามหมวดกรมไว้ แลให้มีที่หมายแลเลขที่สังเกตตำบลวัง ตำบลบ้านให้ปรากฏชัด จะเปนการมีประโยชนหลายอย่างด้วย จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานคิดทำการติดป้ายเลขหมายบ้านทำบาญชี สารบาญ ในจังหวัดกรุงเทพฯ เปนครั้งแรกพอเปนตัวอย่างก่อน

บัดนี้การสารบาญชีในแขวงกรุงเทพฯ นั้น ก็สำเร็จพอจะมีประโยชนสำหรับใช้ราชการในกรมไปรสนีย์แลโทรเลข...จึ่งทรงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งเหนือเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ กรมหลวงภาณุพันธุวงษวรเดช ซึ่งสำเรจราชการกรมไปรษนีย์แลโทรเลข ทรงคิดจัดการรวบรวมหนังสือสารบาญชี ซึ่งเจ้าพนักงานกรมไปรสนีย์ได้ทำขึ้นไว้นั้น ตีพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกแล้วเสร็จ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จำหน่ายให้แก่ผู้มีความประสงค์จะต้องการตั้งแต่วันนี้เปนต้นไปแล้ว จะได้เกบไว้เปนแบบฉบับสำหรับแผ่นดินสืบต่อไปเบื้องน่าตามสมควร...

 

 

.. 2428

 

2428 - 1 ประกาศเก็บภาษีร้อยชักสามทุกเมือง

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.. 2428 มีประกาศ ตั้งเก็บภาษีขาเข้าร้อยชักสามและขาออก เบ็ดเสร็จขึ้นทุกเมือง เจ้าพนักงานในกรุงเทพได้จัดเป็นแบบอย่างซึ่งผู้ว่าราชการเมืองจะได้จัดตั้งให้เป็นเจ้าพนักงานตรวจตรารักษาการเก็บภาษีขาเข้าขาออกในหัวเมืองนั้น ๆ ทำตามแบบอย่างธรรมเนียมเจ้าพนักงานในกรุงเทพ(การเก็บภาษีร้อยชักสามในกรุงเทพฯ มีตั้งแต่ พ.. 2417)

 

 

479 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

2428 - 2 กำเนิดโรงเรียนสามัญศึกษา - การจัดการโรงเรียนและจัดทำหนังสือแบบเรียน

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.. 2428 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร มีหนังสือกราบบังคมทูลถวายรายงานจัดการโรงเรียน จำนวน 17 หน้า ซึ่งได้ขอคำปรึกษากับกอมมิตตีแล้ว โดยทรงแบ่งโรงเรียนออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่

1) โรงเรียนสามัญสำหรับราษฎร ตั้งในพระอารามหลวงทุกแห่ง อาศัยศาลาเป็นโรงเรียน มีพระสงฆ์เป็นครูและช่วยควบคุมดูแล กำหนดว่าจะมีประมาณ 30 แห่ง และไม่เก็บค่าเล่าเรียน

2) โรงเรียนวิเสศ สำหรับบุตรข้าราชการและพ่อค้าพลเรือน ที่อาจจะรังเกียจการส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนวัด กำหนดว่าจะมี 2 แห่ง ในพระนครและนอกพระนคร เป็นทำนองคล้ายกับโรงเรียนนันทอุทยานและโรงเรียนพระยาศรีสุนทร มีการเก็บค่าเรียนปีละ 15 บาท แต่ถ้าเรียนภาษาอังกฤษด้วย เก็บ 30 บาท

3) โรงเรียนใหญ่สำหรับสอนวิชาชั้นสูง สำหรับผู้เรียนวิชาชั้นต้นแล้วทุกประเภท (ยุนิเวอสีตี้) ได้แก่ โรงเรียนสุนันทาลัย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 โรงเรียนหนังสือไทยมีนักเรียนหลวงและนักเรียนสมัคร ค่าใช้จ่ายปีละ 10 ตำลึง แต่หากสำเร็จแล้วจะเข้ารับราชการ จะไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ส่วนที่ 2 โรงเรียนธรรมแลโรงเรียนบอกพระคัมภีร์ ส่วนที่ 3 คือ โรงพิมพ์และหอสมุด

 

2428 - 3 สอบไล่หนังสือครั้งแรกในสยาม ณ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ

วันที่ 27 มีนาคม พ.. 2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานรางวัลนักเรียน ณ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ มีพระราช-ดำรัสในที่ประชุม ความตอนหนึ่งว่า

 

479_ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนสุนันทาลัย พ.ศ. 2432

ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนสุนันทาลัย พ.. 2432

ที่มา : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ภ 002 หวญ 5/28

 

 

480 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

...ฉันมีความยินดีมากที่ได้มาเปนผู้ให้รางวัลแก่เดกนักเรียนซึ่งได้ไล่หนังสือเปนครั้งแรกในเมืองไทย...วิชาหนังสือในเวลานี้เปนเวลากำลังต้องการ...ผู้ซึ่งจะเปนข้าราชการ ไม่รู้หนังสือแล้ว เกือบจะเปนอันใช้ไม่ได้ทีเดียว...ความปรารถนาที่ฉันได้จัดโรงเรียนสวนกุหลาบนี้ขึ้น...หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ที่เปนคนดี ๆ ก็มีมาก แต่ไม่มีช่องที่จะได้ฝึกหัดทดลองให้รู้ดีชั่ว เพราะเป็นเจ้าเสียไม่ได้เป็นขุนนาง จึ่งคิดหาโอกาสที่จะให้เรียนหนังสือได้ ไล่วิชาเหมือนหนึ่งได้ถวายตัวเช่นข้าราชการ...เพราะเหตุว่าลูกฉันก็มีมาก ต่อไปก็คงจะต้องมีหลานเหลน เปนหม่อมเจ้า หม่อมราชวงษต่อ ๆ ลงไปเหมือนกับท่านแต่ก่อนเหมือนกันใช่ว่าจะเปนพระองค์เจ้าไปได้หมดเมื่อไร...เพราะฉันได้ตั้งใจไว้ว่า ตั้งแต่ลูกฉันลงไปจะต้องเข้าในโรงเรียนนี้ ฝึกซ้อมวิชาเหมือนกับลูกหลานเจ้านายทั้งปวงทุกคน...

แต่โรงเรียนนี้มีชื่อไม่เพราะอยู่หน่อยหนึ่ง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนทหาร จะทำให้เปนที่เข้าใจกันไปว่าผู้ที่มาเรียนหนังสือนี้ จะต้องเป็นทหารไปนานฤๅตลอดชีวิตร...จึ่งขอชี้แจงให้ทราบว่า การทหารนั้นเป็นการสำคัญที่จะได้ป้องกันรักษาบ้านเมือง ถ้าไม่มีทแกล้วทหารให้แขงแรงก็จะรักษาบ้านเมืองยาก จึ่งเป็นการจำเปนที่จะต้องจัดการทหารให้แขงแรงขึ้น แต่มิใช่จะต้องการแต่ทหารเดี๋ยวนี้ต้องการคนที่ใช้ราชการพลเรือนให้เปนผู้มีความรู้แลเป็นผู้มีปัญญาใช้การได้จริง...เมื่อผู้ใดมีปัญญามีความรู้สมควรจะรับราชการในตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใด ก็คงจะได้รับการตามคุณวิชาของผู้นั้น...เมื่อได้กล่าวถึงโรงเรียนนี้เป็นการสงเคราะห์แด่ตระกูลเจ้านายดั่งนี้ ใช่ว่าจะละลืมตระกูลข้าราชการและราษฎรเสียเมื่อไร โรงเรียนที่มีอยู่แล้ว แลที่จะได้คิดจัดการโดยอุสาหฺเตมกำลังที่จะให้เปนการเรียบร้อยพร้อมเพรียงเหมือนอย่างโรงเรียนนี้ แลจะคิดให้แพร่หลายกว้างขวาง เปนที่คนเรียนได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งจะมีโรงวิชาอย่างสูงขึ้นไปอีกซึ่งได้กำลังคิดจัดอยู่ บัดนี้เจ้านายราชตระกูลตั้งแต่ลูกฉันเปนต้น ลงไปตลอดจนถึงราษฎรที่ต่ำที่สุด จะให้ได้มีโอกาสเล่าเรียนได้เสมอกัน ไม่ว่าเจ้า ว่าขุนนาง ว่าไพร่ เพราะฉนั้นจึ่งขอบอกได้ว่า การเล่าเรียนในบ้านเมืองเรานี้จะเป็นข้อสำคัญที่หนึ่ง ซึ่งฉันจะอุส่าห์จัดให้เจริญขึ้นจงได้...

 

2428 - 4 เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดีลาออกจากเสนาบดีว่าการต่างประเทศ

วันที่ 1 พฤษภาคม พ.. 2428 เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดีกราบบังคมทูลขอลาออกจากเสนาบดีว่าการต่างประเทศ ด้วยเหตุผล ดังนี้

1) เสนาบดีผู้ว่าการต่างประเทศเป็นคนสำคัญของราชการบ้านเมือง ผู้ซึ่งจะเป็นเสนาบดีว่าการต่างประเทศนั้น ต้องเป็นผู้มีสติปัญญาคิดราชการรอบรู้ราชการในบ้านเมืองทุกสิ่งทุกอย่างและรู้การต่างประเทศ จึงจะรักษาเกียรติยศชื่อเสียงของบ้านเมืองให้ดีขึ้นได้

 

 

481 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2) ราชการต่างประเทศทุกวันนี้ก็แข็งแรงกว่าแต่ก่อนมาก ด้วยชาวต่างประเทศถือว่า คอเวอนเมนต์ไทยถือธรรมเนียมซิวิไลมากแล้ว ขอทรงพระกรุณา

3) โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเร่งทรงพระราชดำริห์จัดราชการบ้านเมืองที่เป็นการรุกเร้ากับใจคนต่างประเทศเสียให้เรียบร้อยโดยเร็ว จะได้ไม่เป็นช่องทางที่คนต่างประเทศจะเข้ามาแทรกแซงในราชการบ้านเมืองได้

4) ราชการซึ่งข้าพระพุทธเจ้าเป็นพนักงานรับราชการฉลองพระเดชพระคุณอยู่นั้น ก็มีแต่เสื่อมทรามไปไม่เป็นการเจริญขึ้น เพราะปัญญาและความรู้ไม่พอกับราชการ ทั้งโรคภัยก็เบียดเบียน

5) ข้าพระพุทธเจ้า...ไม่ได้คิดในส่วนตัวข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานแต่ให้ราชการบ้านเมืองมีความเจริญขึ้นอย่างเดียว...

 

 

หมายเหตุ

ทั้งนี้ ผู้เรียบเรียงพบว่าการลาออกของเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดีมีเหตุมาจากในพระราชดำรัสตอบความเห็นของผู้ที่ทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นในการจัดเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน ร.. 103 ซึ่งมีความตอนหนึ่งที่กล่าวถึงตัวอย่างเสนาบดีที่เป็นสำรับเก่าหรือเป็นข้าราชการรุ่นเก่าที่จะต้องทำงานในระบบการปกครองอย่างใหม่ ดังนี้

 

...ในการที่จะจัดตำแหน่งเสนาบดี ให้รับการได้จริงทุกสิ่งทุกอย่างในสำรับเก่า ที่เปนอยู่บัดนี้ ให้กลับทำการอย่างใหม่ได้จริงนั้นไม่ยาก แต่เพียงที่เคยเปนออปโปสิชั่นกันมาเสียแต่ก่อน ที่จำเปนจะต้องเหนไม่ต้องกัน ฤๅแกล้งบิดพลิ้วจะให้เสียนั้นอย่างเดียวเลย เปนการที่เหลือกำลังจะทำไปได้ก็มี เหมือนอย่างเมื่อเรว ๆ นี้ กงสุลฝรั่งเสศมีหนังสือมา เรื่องประกาศห้ามไม่ให้บันทุกกำลังศึกเข้าไปในเมืองจีน เราจึ่งได้มีคำสั่งเจ้าพระยาภาณุวงศ์ให้ทำคำประกาศ แลให้แปลหนังสือที่ประเทศทั้งปวงได้ตกลงกันอย่างไร ลงในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ให้ลูกค้าทั้งปวงทราบ ได้สั่งการโดยละเอียดถ้วนถี่แล้ว ครั้นเมื่อร่างประกาศมาให้เราดู มีข้อความเพิ่มเติมลงไปอีก ว่าเมืองไทยเรามีแต่เข้าเปนสินค้า เข้าไม่เปนอาวุธ ไม่ต้องห้ามดังนี้ ที่เติมลงนี้ก็ประสงค์จะให้ดีเท่านั้น ใช่จะแกล้งอย่างหนึ่งอย่างใดเลย แต่หาได้ดูในหนังสือฉบับที่ให้แปลนั้นเองไม่ ว่าเขาจะกำหนดห้ามอันใด จะประกาศให้ทราบ แลไม่มีกำหนดว่าจะห้ามอันใดบ้าง แลมีหนังสือพิมพ์ข่าวโทรเลข ในเวลานั้นลงออกอึงไปว่า ฝรั่งเสศจะห้ามแต่เข้าอย่างเดียว ก็ไม่รู้เสีย การวางมือไปไม่ได้อย่างนี้ ท่านเสนาบดีกรมนี้ก็นับว่าเปนผู้มีปัญญายังชั่วกว่ากรมอื่น ๆ ยังเปนดังนี้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงกรมอื่น ๆ เล่า เพราะเหตุอันนี้ เราจึงต้องรับภาระอันหนัก โดยมิได้หยากจะขวนขวายไปรับเอามาเลย ดังเช่นกล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น ถึงตัวท่านเสนาบดีเองเล่า เราก็เชื่อเปนแน่ว่าได้รู้ตัวเหมือนกัน ว่ากำลังตัวเองไม่พอที่จะรับแก่การประจุบันนี้ได้...

 

 

482 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2428 - 5 กิจการทหารมหาดเล็ก

วันที่ 4 พฤษภาคม พ.. 2428 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็ก ไปราชการเมืองพิไชย พระองค์เจ้าดิศวรกุมารจึงมีหนังสือกราบบังคมทูล มีใจความสำคัญ ดังนี้

1) ขอรับพระราชทานออฟฟิเซอร์ (officers) ในกรมทหารมหาดเล็ก 6 คนเป็นผู้ติดตาม โดยมีขุนวรสุนทโรสถ

2) ตำแหน่งฮอศปิแตนซายัน (Hospital Sergeant) หรือนายสิบพยาบาล

3) ขอพระราชทานให้จมื่นวิชิตไชยสักดาวุธเป็นผู้รักษาราชการของการทหารมหาดเล็ก

4) ขอพระราชทานให้พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์เป็นผู้รักษาราชการของการโรงเรียนต่าง ๆ

แสดงให้เห็นว่ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์แบ่งหน้าที่เป็น 4 ประเภท คือ การทหารมหาดเล็ก (รวมตำแหน่งแพทย์ทหาร) การทำแผนที่ การโรงเรียน และการพิพิธภัณฑ์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาตอบว่า ไม่ต้องอไร เพราะการที่จะไปตกลงงดแล้วจึงไม่ได้เดินทางไปราชการยังเมืองพิไชย

 

2428 - 6 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการ

ดำรงตำแหน่งเสนาบดีว่าการต่างประเทศ

วันที่ 12 มิถุนายน พ.. 2428 พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงษ กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการ เป็นเสนาบดีว่าการต่างประเทศ ความว่า

 

...บัดนี้ฉันจึ่งมอบตำแหน่งเสนาบดีผู้ว่าการต่างประเทศนี้ ให้เธอเปนผู้บังคับบัญชาการสิทธิขาดในตำแหน่งนั้น โดยเตมอำนาจตำแหน่งไม่มีที่ยกที่เว้น ขอให้เธอรับตำแหน่งนี้ รักษาราชการโดยความซื่อตรงต่อตัวฉันแลแผ่นดินบ้านเมือง รักษาการให้เตมสติปัญญาความคิด ให้ราชการทั้งปวงเรียบร้อย บ้านเมืองอยู่เยน เปนศุขสืบไป...

 

 

หมายเหตุ

การต่างประเทศเป็นงานราชการประเภทเดียวที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการ รับสนองพระบรมราชโองการปฏิรูปราชการต่างประเทศเพียงลำพังพระองค์เดียว ไม่ต้องใช้รายงานจัดราชการหรือกอมมิตตี (คณะกรรมการ) จัดการแบบราชการกระทรวงอื่น ๆ ทรงพระปรีชาสามารถด้านการต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง ทรงรับราชการเป็นเสนาบดีว่าการต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน พ.. 2428 จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.. 2466 เป็นเวลาถึง 38 ปี ไม่ได้ย้ายไปว่าราชการกระทรวงอื่นใดเลย

 

 

483 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2428 - 7 จัดให้มีออฟฟิซราชการครั้งแรก

วันที่ 12 มิถุนายน พ.. 2428 มีพระราชหัตถเลขาถึงพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ให้มีออฟฟิซ (office) ราชการ

 

ถึง ดิศวรกุมาร

ด้วยเจ้าพระยาภาณุวงษมหาโกษาธิบดี ขอลาออกจากราชการตำแหน่งผู้ว่าการต่างประเทศ ฉันได้มอบราชการให้กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการ บังคับบัญชาต่อไป แต่ออฟฟิซราชการนั้น ไปตั้งที่บ้านอย่างแต่ก่อนเหนไม่เป็นแบบราชการ ชักให้เสนาบดีที่ถือไรต์ที่จะนั่งอยู่ในแต่ออฟฟิซไม่เข้าวังผิดด้วยแบบอย่างมาแต่ก่อน ราชการไม่ใคร่ได้ประชุมพบปะกัน ก็มักจะให้มีเหตุต่าง ๆ มีการช้าเหลือเกินไปเปนต้น แลราชการมักตกหล่นสูญหายเสียโดยมาก จึ่งคิดจะให้ออฟฟิซตั้งอยู่ในที่แห่งเดียว เปนมั่นคงสำหรับแผ่นดินสืบไป แต่ในเวลานี้ยังไม่มีที่ใดสมควรเปนออฟฟิซได้ ให้เธอมอบวังสราญรมย์ให้กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการ เปนออฟฟิซว่าการต่างประเทศไปกว่าจะได้ทำออฟฟิซในพระบรมมหาราชวังขึ้นแล้วเสร็จ

สยามินทร์

 

 

หมายเหตุ

ในอดีต สถานที่ว่าราชการของแต่ละกรมกองจะย้ายไปตามวังเจ้านายหรือบ้านขุนนางผู้รับผิดชอบ เป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่งในการปกครองประเทศ จึงทรงแก้ไขด้วยการเวนคืนวังเจ้านายซึ่งเป็นที่หลวง หรือจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติม เพื่อจัดตั้งเป็นสถานที่ว่าราชการส่วนกลางจนครบทุกส่วนราชการ

 

2428 - 8 ขอพระราชทานตำแหน่งขุนนางการโรงเรียนในกรมทหารมหาดเล็ก

วันที่ 6 กรกฎาคม พ.. 2428 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร มีหนังสือจากออฟฟิซ กรมทหารมหาดเล็ก ในพระบรมมหาราชวังกราบบังคมทูลขอพระราชทานสัญญาบัตรให้หม่อมราชวงศ์วิญ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนหนังสือเป็นหลวงตำแหน่งวิเสศ รับราชการในการโรงเรียน โดยฝากไว้ในกรมทหารมหาดเล็กก่อน

 

2428 - 9 งบประมาณสำหรับการโรงเรียนและกรมทำแผนที่

พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร มีหนังสือจากออฟฟิศกรมทหารมหาดเล็ก กราบบังคมทูลถวายบัญชีแสดงงบประมาณรายจ่ายประจำเดือนเอศติเมดเงินประจำเดือนสำหรับการโรงเรียน และเอศติเมดเงินประจำเดือนสำหรับกรมทำแผนที่ซึ่งกรมทหารมหาดเล็กรับผิดชอบจัดการอยู่

 

 

484 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

...ในส่วนเอศทิเมดสำหรับโรงเรียน

น่าที่ 1 ในจำนวนพนักงานจัดการนั้น ส่วนพระยาศรีสุนทรโวหาร เดิมได้รับพระราชทานในอัตราอาจาริยใหญ่โรงเรียนสอนหนังสือไทย เดือนละชั่งหนึ่ง บัดนี้เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า โรงเรียนที่ได้จัดเปนชั้นเปนส่วนแลมีเพิ่มเติมขึ้นเปนอันมาก ควรที่พระยาศรีสุนทรโวหารจะต้องเปนธุระในที่จะช่วยจัดการทั่วไป จึ่งจะเปนประโยชน์แก่การเล่าเรียน

ตำแหน่งสมุห์บัญชี...แลตำแหน่งนักการ คืออินสะเป็คเตอ 4 คนนั้นมีธุระสำหรับจะต้องเที่ยวตรวจตราธรรมเนียมแลความเรียบร้อยตามโรงเรียนทั้งปวงทั้งหัวเมืองแลในกรุงแลต้องทำรีโปดด้วย ในชั้นต้นขอรับพระราชทานตั้งแต่ 2 คนก่อนตำแหน่งเสมียนสำหรับการจรนั้น มีที่ต้องการเปน 2 อย่าง ๆ หนึ่ง คนที่เอามาฝึกหัดสำหรับจะได้จ่ายออกไปเปนครูตามโรงเรียนต่าง ๆ เพราะในเวลานี้ โรงเรียนสูงสำหรับสายครูยังไม่มี ถ้ามีแล้วก็ไม่ต้องใช้ อีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อเวลามีหนังสือที่จะต้องคัดมากเหมือนกันในคราวเกณฑ์แต่งหนังสือเรียนแลเกณฑ์แปลธรรมบทเปนต้น...ในส่วน โรงเรียนพระยาศรีสุนทรโวหาร แล โรงเรียนสวนนันทอุทยาน นั้น เอสทิเมดกะเปนแก่เงินที่ใช้อยู่ในเวลานี้ ถ้าโรงเรียนสราญรมย์ตั้งขึ้นแล้ว 2 โรงนี้รวมกันเป็นโรงเดียว เอศติเมดจะต้องทำใหม่...โรงเรียนตามวัดนั้น ใน เอศติเมดกะเต็มที่เผื่อไว้ทีเดียว แต่เงินที่เบิกอยู่โดยปรกติน้อยกว่านี้มาก...

ในส่วนเงินเอสติเมดกรมทำแผนที่นั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้ กะทำตามแบบใหม่ซึ่งพระวิภาคภูวดลได้เรียบเรียงขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย นั้น เงินเพิ่มในเวลาไปราชการแลเงินค่าเดินทางของพระวิภาคภูวดลแลพนักงานแผนที่ซึ่งไปราชการนั้น กะไว้ตลอดปี เพราะไม่ทราบเกล้าฯ แน่ว่า พระวิภาคภูวดลจะกลับมาถึงในเดือนใด ถ้ามาถึงเดือนใด ก็จะเบิกเพียงเดือนนั้น...

 

2428 - 10 พระราชหัตถเลขาคำสั่งพระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอ 4 พระองค์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาพระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอ4 พระองค์ที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อ ณ ทวีปยุโรปรุ่นแรก จำนวน 8 หน้า มีใจความสำคัญโดยย่อ ดังนี้

 

ทรงให้ระมัดระวังในการปฏิบัติ อย่าให้ไปอวดอ้างเรื่องการเป็นเจ้านายในต่างประเทศ

 

เนื่องจากใช้เงินพระคลังข้างที่ คือ เงินสิทธิ์ขาดส่วนพระองค์ ไม่ใช่เงินสำหรับราชการแผ่นดิน เรียนชั้นต้น 5 ปี เรียนชั้นหลัง 5 ปี รวมเป็นเงินพระองค์ละ 3,600 ปอนด์ ทรงให้การเล่าเรียนวิชาเป็นทรัพย์มรดกแก่พระราชโอรสโดยเสมอกัน ตามแต่สติปัญญาของแต่ละพระองค์

 

 

485 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

485_พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิตติยากรวรลักษณ์

พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิตติยากรวรลักษณ์

พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์

พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม

และพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช

พระราชโอรสรุ่นแรกที่เสด็จไปศึกษา ณ ต่างประเทศ

 

และให้กลับมารับราชการให้คุ้มกับเงินแผ่นดินที่ลงไป มีพระราชกระแสรับสั่งว่า ถึงว่าเงินพระคลังข้างที่นั้นเอง ก็เปนเงินส่วนในแผ่นดินเหมือนกัน เว้นแต่เปนส่วนที่ยกให้แก่พ่อใช้สอยการในตัว ที่ทำการกุศลแลสงเคราะห์บุตรภรรยา เปนต้น เหนว่าการสงเคราะห์ด้วยเล่าเรียนนี้เปนดีกว่าอย่างอื่น ๆ จึงได้เอาเงินรายนี้ใช้เปนการมีบุญคุณต่อแผ่นดินรวมทั้งพระราชทานคำสอน ให้มีความเพียร ไม่ให้เกะกะกลัวเกรงข่มเหงผู้อื่น ใช้สอยเงินทองอย่างเขม็ดเขม่ อย่าสุรุ่ยสุร่าย เป็นต้น

 

2428 - 11 ตั้งศาลาว่าการต่างประเทศ (กรมท่า) ในพระบรมมหาราชวัง

วันที่ 10 สิงหาคม พ.. 2428 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กราบบังคมทูลเรื่องการซ่อมคลังเชือก ก่อสร้างตึกเพิ่มทำเป็นโรงทหารมหาดเล็ก และรื้อที่คลังและโรงม้าเดิมของทหารมหาดเล็กทำเป็นออฟฟิศกรมท่า ในส่วนคลัง เมื่อโรงทหารใหม่เสร็จแล้วจะย้ายของเข้าไว้ในนั้นได้ ยังอยู่แต่โรงม้าที่จำเป็นต้องคิดหาที่ โดยเห็นว่า ที่มุมท้องสนามหลวง ตรงหน้าประตูวิเศษไชยศรี ริมคลังเชือกบาทและโรงงานของสมเด็จกรมพระนั้น เป็นที่รกร้างโสโครกอยู่ใกล้พระบรมมหาราชวัง น่าจะใช้ทำโรงม้าทหารมหาดเล็กได้ พระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชหัตถเลขาตอบว่า การเรื่องนี้ให้สวัส พูดกับเทว ดูทีเถิด ฉันไม่แน่ใจว่าที่ว่าการต่างประเทศอยู่ที่นี่ จะงามจะง่าย หฤๅจะเอาที่สนามหลวง จะงามจะง่ายกว่ากัน

 

 

486 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2428 - 12 หนังสือกราบบังคมทูลเรื่องการฝึกหัดวิชาหมอ

ต้นกำเนิดการแพทย์แผนปัจจุบันฉบับแรก

วันที่ 13 สิงหาคม พ.. 2428 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็ก กราบบังคมทูลเรื่องการทหารและการโรงเรียนที่กรมทหารมหาดเล็กรับผิดชอบรวมถึงการฝึกหัดวิชาหมอและวิชาเซอเยอรี และโรงรักษาคนไข้ ดังนี้

 

...2. อนึ่ง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการมีรับสั่งแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่า กรมทำแผนที่ควรจะมีคนยีโลเยอ ที่ชำนานในการตรวจแร่ธาตุต่าง ๆ ได้สักคน 1 สำหรับจะได้ให้รับราชการทางยีโอโลยิเกลเซอเว ให้เปนประโยชน์อีกทางหนึ่ง เพราะการเซอเวตรวจแร่ทุกอย่างนี้มักจะเปนที่พูดจาว่ากล่าวของคนที่ว่ามาตรวจการนักปราชต่าง ๆ เช่น มิศเอตร์ลุคซากี อยู่เนือง ๆ...

3. อนึ่งหมอวิลลิศที่สำนักราชทูตอังกฤษ ได้ขึ้นมารับพระราชทานอาหารเย็นกับข้าพระพุทธเจ้าวันหนึ่ง ได้พูดจากันถึง เรื่องฝึกหัดวิชาหมอ หมอวิลลิศแจ้งความว่า เมื่ออยู่ที่เมืองยี่ปุ่นได้เคยฝึกหัดคนยี่ปุ่นรู้ไปเปนหลายคน ข้าพเจ้าจึ่งถามว่า หมอวิลลิศเข้ามาอยู่ในเมือง คิดจะหัดคนไทยบ้างฤๅไม่ หมอบอกว่าถ้ามีโอกาสก็จะรับหัดได้บ้าง ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้ ปฤกษากับพระวิภาคภูวดล พร้อมกับเหนด้วยเกล้าฯ ว่า วิชาหมอเปนวิชาสำคัญ ควรจะให้แพร่หลายไปในพื้นบ้านพื้นเมือง แต่ที่จะคิดอ่าน การฝึกหัดวิชาหมอแท้ ก่อนที่ได้มี โรงรักษาคนไข้ ตั้งขึ้นนั้นก็ไม่ได้ แต่เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า วิชาหมอในส่วนหนึ่งคือเซอยอรี ที่จะตัดผ่ารักษาบาดแผลเข้าเฝือกเหล่านี้เปนของที่จะเรียนได้ง่าย และเปนที่ต้องการในราชการเหมือนดังทัพฮ่อ ฤๅไปทำแผนที่ป่าฎงดังนี้มาก ถ้าได้คิดอ่านให้มีขึ้นได้ก็คงจะเปนประโยชน์แก่ราชการมาก ข้าพระพุทธเจ้าจึ่งให้ พระวิภาคภูวดลพูดจาปฤกษากับหมอวิลลิศ ในความเหนอันนี้ หมอวิลลิศก็เหนชอบด้วย ว่าถ้าข้าพระพุทธเจ้าจะจัดคนให้สัก 8 คน หมอวิลลิศจะรับฝึกสอนวิชาเยอรีให้แก่คนเหล่านั้นในเวลาตั้งแต่บ่าย 2 โมง จนบ่าย 4 โมง ทุก ๆ วันแลจะสอนให้เปล่า ๆ ไม่คิดเอาค่าฝึกสอนด้วย การเปนดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ถ้าได้ฝึกหัดคนไทยให้เข้าใจในวิชานี้ได้หลายคน ก็จะเปนประโยชน์ดังที่คิดนั้นได้มาก...

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาตอบว่า ออกไม่ใคร่เชื่อว่าจะสอนสำหรับเปล่าทำไม แต่ที่สอนไว้นั้นดีมาก

 

 

487 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

487_หนังสือกราบบังคมทูลของพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็ก

หนังสือกราบบังคมทูลของพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็ก

เรื่องหมอวิลลิศคิดจะหัดวิชาหมอให้คนไทย

ที่มา : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หนังสือกราบบังคมทูล มร 5 นก/54

 

 

488 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2428 - 13 รายงานโรงเรียน ฉบับที่ 1

วันที่ 17 สิงหาคม พ.. 2428 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็ก กราบบังคมทูลรายงานโรงเรียน ฉบับที่ 1 ความย่อดังนี้

 

...จำนวนโรงเรียนที่มีอยู่แล้วก่อนเดือนเจ็ด มี 9 แห่ง โรงเรียนในพระบรมมหาราชวัง 2 โรงเรียนนันทอุทยาน 1 โรงเรียนในพระอารามแขวงกรุงเทพมหานคร 4 โรงเรียนในพระอารามแขวงกรุงเก่า 1 โรงเรียนในพระอารามเมืองสมุทรปราการ 1

ในเดือนเจ็ดได้ตั้งโรงเรียนขึ้นอีก 10 แห่ง คือ โรงเรียนในพระอารามแขวงกรุงเทพมหานคร 7 แห่ง โรงเรียนในพระอารามแขวงกรุงเก่า 3 แห่ง รวมเก่าใหม่เป็นโรงเรียน 19 แห่ง

ในเดือนแปดได้จัดตั้งเพิ่มอีก...รวมเป็นโรงเรียนหลวงที่ได้ฝึกสอนกุลบุตร 23 แห่ง...มีนักเรียนในโรงเรียนแขวงกรุงเทพ 1022 คน แขวงกรุงเก่า 253 คน แขวงนครเขื่อนขัณฑ์ 26 คน แขวงเมืองสมุทรปราการ 62 คน รวมทั้งสิ้น 1363 คน...

 

2428 - 14 กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคต

วันที่ 26 สิงหาคม พ.. 2428 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการ ทรงหารือกับมิสเตอร์เฟรนช์ ผู้ว่าการแทนราชทูตอังกฤษและกงสุลเยเนราลเกี่ยวกับเมืองเชียงใหม่ และสอบถามเกี่ยวกับพระอาการกรมพระราชวังบวรฯ ว่า

 

...อาการกรมพระราชวังบวรฯ ประชวรครั้งนี้ได้ความแน่ชัดว่าหนักหนาอยู่แล้ว แล หมอวิลลิส ที่รักษาก็ว่าจะเชิญให้เสด็จกลับขึ้นมาอยู่วังในพรุ่งนี้แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเหนด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมว่า ควรที่จะให้เสด็จกลับมา จึ่งจะสมควรแก่ประเพณีราชการบ้านเมือง...

 

วันที่ 28 สิงหาคม พ.. 2428 กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเสด็จทิวงคต หลังการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง วันที่ 14 มิถุนายน พ.. 2429โดยให้ยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในฐานะพระมหาอุปราช (วังหน้า) และทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรก ดังนั้นทั้งพระราชวังบวร ขุนนางวังหน้า ไพร่ขึ้นวังหน้าทั้งหมด ก็ย้ายกลับมาขึ้นวังหลวง และดัดแปลงสนามวังหน้าเป็นส่วนหนึ่งของสนามหลวง รื้อป้อมปราการต่าง ๆ ลงให้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ใน พ.. 2430 ขุนนางวังหน้าอยู่ในกำกับของวังหลวง

 

 

489 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

หมายเหตุ

เนื่องจากได้มีการยุบสถานที่ตั้งกรมหมอวังหน้าในเขตพระราชวังบวรชั้นนอกไปและเปลี่ยนเป็นที่ของโรงทหารรักษาพระองค์ของวังหลวงแทน ดังนั้นขุนนางกรมหมอวังหน้าซึ่งย้ายไปขึ้นกับวังหลวงตามธรรมเนียม เจ้าพระยามหินธรศักดิธำรง สมุหพระสุรัสวดี กรมพระสุรัสวดี มีอำนาจหน้าที่ในการจัดระเบียบ การควบคุมกำลังคน และการสักเลกมากกว่าเดิม รวมทั้งการเกณฑ์ไพร่มาทำราชการ มีหนังสือกราบบังคมทูลว่า ...บัดนี้กรมพระราชวังบวรฯ ทิวงคต ราชการในกรมพระราชวังบวรฯ ก็ตกมาเด็ดขาดอยู่ในพระบรมมหาราชวังทั้งสิ้น...

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางกรมหมอวังหน้าย้ายไปทำงานตามหน่วยงานอื่น ๆ เช่น ย้ายไปเป็นแพทย์ทหารบก เมื่อ พ.. 2430 ไปทำงานที่โรงพยาบาลใหญ่ ณ วังหลัง (โรงพยาบาลศิริราช) เมื่อ พ.. 2431 หรือไปทำงานที่โรงเรียนแพทยากร เมื่อ พ.. 2433 เป็นต้น

ส่วนกรมหมอหลวง (กรมแพทยาโรงพระโอสถ) ยังคงปฏิบัติราชการเหมือนเดิม แต่ไม่โปรดให้รับขุนนางใหม่เพิ่มเติม จนกระทั่งขุนนางเก่า ๆ ถึงแก่กรรมจึงค่อย ๆ หมดไปและยุบเลิกกรมหมอหลวงไปโดยปริยายในภายหลัง โดยในปี พ.. 2435 ที่มีการปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการทั้งประเทศ มีกรมราชการแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังคงมีกรมราชการแบบเก่า (ตามกฎหมายตราสามดวง) ตกค้างอยู่ เช่น กรมช่างสิบหมู่ กรมมหาดเล็ก กรมหมอหลวง แต่กรมแบบเก่าทั้งหมดต้องย้ายไปอยู่ภายใต้ระบบราชการแบบตะวันตกที่จัดแบ่งเป็นกระทรวงต่าง ๆ ขึ้นใหม่

 

2428 - 15 ตั้งกรมแผนที่ทหาร

วันที่ 3 กันยายน พ.. 2428 นายพันโท พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร จัดการตั้งกองแผนที่ทหาร เป็น กรมแผนที่ทหาร ในกรมทหารมหาดเล็กตามพระบรมราชโองการ

 

2428 - 16 หมอเทียนฮี้ขนปัสตันสำหรับทหารม้า 1 หีบจากสิงคโปร์

วันที่ 4 กันยายน พ.. 2428 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการ กราบบังคมทูล ดังนี้

 

...ด้วยเจ้าพนักงานกรมศุลกากร มีหนังสือมาลงวันที่ 4 ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้หมอชิเทียนฮี้บันทุกปัสตันบันจุแล้วสำหรับทหารม้าหีบหนึ่งจากสิงคโปร์ เพื่อประโยชน์ของคอเวอนเมนต์สยาม...

 

วันที่ 12 กันยายน พ.. 2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราช-หัตถเลขาตอบ

 

ถึงกรมหมื่นเทวะวงษวโรประการ

ด้วยจดหมายเธอส่งหนังสือกรมศุลกากร ว่าด้วย หมอเทียนฮี้ ขออนุญาตบรรทุกปัสตันบรรจุแล้วหีบหนึ่งนั้น ได้สอบถามเจ้าหมื่นไวยได้ความ

 

 

490 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ว่าเปนของเจ้าหมื่นไวยวรนาถ สั่งมาสำหรับตัวที่จะขึ้นไปราชการทัพนั้น อนุญาตเถิด

สยามินทร์

 

 

2428 - 17 หมอเฮงรี เอศโกลสตอน ขอรับราชการเป็นแพทย์ทหาร

วันที่ 26 ตุลาคม พ.. 2428 ดอกเตอร์เฮงรี เอศโกลสตอน มีหนังสือทูลมายัง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการ ความว่า

...ด้วยแม้ว่าในกองทับซึ่งจะยกขึ้นไปเหนือ ครั้งมีตำแหน่งหมอว่างอยู่ ฤๅมีการที่แห่งใด ข้าพเจ้าขอถวายตัวรับราชการในตำแหน่งหมอนั้น แลซึ่งข้าพเจ้าขอรับราชการนั้น ข้าพเจ้าขอทูลให้ทรงทราบว่า ข้าพเจ้าเป็นเมมเบอร์ ในจำพวกแพทย์ ซึ่งเรียกว่า รอยัลกอลิชออฟเซอเยอน (The Royal College of Surgeons) ในอังกฤษ แลข้าพเจ้าได้รับดิโปลมา ลงวันเดือนนอแวมเบอร์คฤกษศักราช 1851 แลข้าพเจ้าได้รับราชการในกองทัพอเมริกันเมื่อครั้งมีสงครามครั้งหลังนั้น แลได้รับตราตั้งเป็นเซอเยอน แลมีตำแหน่งสมอเมเยอ แลเมื่อออกจากราชการนั้น ก็ได้รับหนังสืออนุญาตของเจ้าพนักงานให้ออกจากราชการโดยความชอบ ภายหลังข้าพเจ้าก็ได้ไปการทัพเมืองอบิซีเนียด้วย

 

วันที่ 27 ตุลาคม พ..2428 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการทูลพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ ว่า

 

...ด้วยดอกเตอร์เฮงรี เอศโกลสตอน มีหนังสือมาว่า จะขอรับราชการในตำแหน่งหมอ ซึ่งจะยกทัพไปเมืองเหนือครั้งนี้...ขอให้เธอนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ตามเวลาที่สมควร...

 

2428 - 18 ติดไฟฟ้าในโรงทหารหน้า

วันที่ 28 ตุลาคม พ.. 2428 จมื่นไวยวรนาถกราบบังคมทูลเรื่องการติดไฟฟ้าในโรงทหารหน้า ความว่า

 

...เดิมโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้าจัดทหารขึ้นอยู่โรงทหารน่า ในชั้นต้นที่จะจัดทหารขึ้นอยู่โรงนั้น...ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้คิดกำหนดดวงไฟที่จะใช้ เหนควรต้องใช้ถึง 450 ดวง มาคิดค่าโคมแลค่าโสหุ้ยต่าง ๆ ก็เหนเปลืองมาก ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดด้วยเกล้าฯ ว่า ถ้าจะใช้ไฟฟ้า โสหุ้ยก็คงน้อยลงได้...ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้สั่งไปทางตาลิกราฟ (telegraph) ให้ส่งไฟฟ้าเข้ามาสำหรับที่จะใช้ในโรง ให้ทันกับการขึ้นโรงทหารน่า...ข้าพระพุทธเจ้าเหน

 

 

491 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ด้วยเกล้าฯ ว่า การที่จะจุดไฟบนพระที่นั่งทุกวันนี้ ก็ต้องใช้ผู้หญิงเปนผู้จุด การที่จุดนั้นก็เปนการลำบาก ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้คิดกะไฟฟ้าที่มีอยู่แล้วนั้น โคมดวงใหญ่ 1 ดวง มีแรง 12000 เทียนไข มีอยู่ 4 ดวง คิดด้วยเกล้าฯ ว่า จะใช้ที่โรงทหารทั้ง 2 ดวง อีก 2 ดวงจะใช้ในที่ออกขุนนางทั้งสองข้าง ข้างละดวง กับโคมติดฝา อย่างกลาง อย่างเลก มีแรง 10/20 ดวงเทียนไข มีอยู่ 180 ดวง กับโคมติดฝาโตะต่าง ๆ มีแรงโคมละ 20/30/40 ดวงเทียนไข มีอยู่ 6 ดวง

...ไฟฟ้าซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้กราบบังคมทูลพระกรุณามาแล้วนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้ลองจุดในการแดนซิงวังสราญรมย์แล้ว เหนใช้ได้ดีกับของที่มีสำหรับเครื่องไฟฟ้านั้นมีพร้อมแล้วทุกอย่าง...

 

2428 - 19 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ ประสูติ

วันที่ 27 พฤศจิกายน พ.. 2428 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชโอรสองค์ที่ 5 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ประสูติ ค่ำคืนนั้นมีปรากฏการณ์ฝนดาวตก ชาววังจึงขนานพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นี้ว่า ทูลกระหม่อมดาวร่วง

 

491_สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์

 

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์

ที่มา : งานจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

 

492 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

.. 2429

 

.. 2429 - 1 รายงานโรงเรียน ฉบับที่ 2 และตั้งโรงเรียนแผนที่ทหาร

วันที่ 23 มกราคม พ.. 2429 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็ก กราบบังคมทูลรายงานโรงเรียน ฉบับที่ 2 มีความย่อดังนี้

...(1) …รายงานฉบับนี้จึงรวมได้ 5 เดือนในคราวเดียวกัน

(2) การโรงเรียนในระหว่าง 5 เดือนนี้ก็เรียบร้อยเจริญขึ้นโดยปรกติ จำนวนนักเรียนก็มากขึ้นเสมอทุก ๆ เดือน...

(3) โรงเรียนในกรุงเทพฯ มีอยู่หลายแห่งแล้ว ที่จะตั้งขึ้นใหม่ต่อไปในจังหวัดกรุงเทพฯ โดยจะตั้งอีกน้อยแห่งก็ได้ แต่ตามหัวเมือง ข้าพระพุทธเจ้ากำลังคิดอ่านที่จะตั้งโรงเรียนให้ตลอดออกไปตามกระแสพระราชดำริห์ ข้าพระพุทธเจ้าได้พบพูดจาชี้แจงกับพระสงฆ์เจ้าคณะบางหัวเมือง ยินดีที่จะรับจัดการตามพระราชประสงค์...

(4) อนึ่งเมื่อเดือน 12 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงเปนพนักงานสอบซ้อมวิชาอาจาริย์ซึ่งได้รับพระราชทานสอนวิชาหนังสือไทยในโรงเรียนหลวงทุกแห่ง...จำนวนอาจาริย์ที่เข้าไล่หนังสือ อาจาริย์ใหญ่ 25 คน อาจาริย์รองในโรงเรียนใหญ่ 11 คน อาจาริย์รองในโรงเรียนตามพระอารามเข้าไล่ 2 คน รวมทั้งสิ้นด้วยกัน 38 คน...

(5) โรงเรียนได้ตั้งขึ้นใหม่ ในกรมแผนที่ทหารแห่ง 1 สำหรับฝึกสอนนักเรียนที่จะรับราชการในกรมแผนที่ วิชาที่ฝึกสอนนั้นคือ หัดเลขอย่างสูงสำหรับใช้ในการวัดแดด วัดดาว เปนต้นอย่างหนึ่ง หัดเขียนอย่าง 1 หัดวิชาหนังสือไทยอย่าง 1 หัดทำแผนที่ด้วยอย่าง 1 กำหนดอัตรานักเรียนเต็มที่รับได้เพียง 50 คน แลต้องสอบซ้อมวิชาก่อนพอสมควรแล้วจึ่งจะยอมให้เข้าเรียน แลไม่ได้รับฝึกหัดนักเรียนในสำนักนี้อื่นนอกจากผู้ที่จะเข้ารับราชการในกรมทำแผนที่ การฝึกสอนในโรงเรียนนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้ตรวจดูเหนสอนโดยถ้วนถี่ละเอียดลออมากต่อไปคงจะเปนประโยชน์แก่ราชการเปนอันมาก...

 

2429 - 2 มิสเตอร์อิแยแวลซ์ขอตั้งบริษัทติดตั้งจำหน่ายไฟฟ้าในสยาม

วันที่ 10 มีนาคม พ.. 2429 การใช้ไฟฟ้ามีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะความเจริญของเทคโนโลยีการแพทย์แผนปัจจุบันแบบประเทศตะวันตก ในปี พ.. 2429 มีชาวต่างประเทศที่อยู่ในสิงคโปร์มีหนังสือกราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการ เสนาบดีว่าการต่างประเทศ ความตอนหนึ่งว่า

 

 

493 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

...ที่ขอพระเจ้าแผ่นดินสยามโปรดให้คอลเซเซอล แก่ข้าพเจ้าให้ได้รับทำไฟฟ้าที่กรุงเทพฯ และที่ใกล้เคียง แลพวกกำมิศชั่นเนอร์ เมืองสิงคโปร์ได้ทำหนังสือสัญญาอนุญาตให้ข้าพเจ้าแลได้ให้อำนาจสมควรแก่ข้าพเจ้าได้ตั้งโคมไฟฟ้าตามถนนหลวงแลในบ้านราษฎรที่เมืองสิงคโปร์...จะทำการต่อไปถึงเมืองปีนัง...ข้าพเจ้าขอจะทำการกำปะนีต่อไปกรุงเทพฯ ถ้าท่านโปรดและเห็นด้วยการเรื่องนี้ตามสมควร ขอสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามได้พระราชทานหนังสือสัญญาอนุญาตให้ข้าพเจ้า แลข้อความในหนังสือสัญญาอนุญาตนั้นจะมีความว่าดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นความเหมือนกับคอมมิศชันเนอที่เมืองสิงคโปร์ยอมให้แก่ข้าพเจ้าคือ

ข้อ 1 ให้อำนาจได้ที่ดินแลได้สร้างตึกในที่นั้นตามสมควร จะได้ตั้งเครื่องจักและของอื่น ๆ ซึ่งต้องการใช้ทำเครื่องไฟฟ้า

ข้อ 2 ว่าได้ตั้งเครื่องจักแลที่สำหรับได้ทำไฟฟ้าแลได้จำหน่ายไฟฟ้านั้น เพื่อจะได้จุดไฟฟ้าในที่หลวง ที่ไปรเวศ ที่ถนน และที่อื่น ๆ แลในที่กลางแจ้ง

ข้อ 3 ว่าให้ข้าพเจ้าได้ตั้งเสาแลได้ติดตั้งสายลวดที่พ้นคนเดินตลอดในเมืองแลที่ใกล้เคียงกรุงเทพฯ ทุกถนนหนทาง ฤๅที่อื่น ๆ ที่เหนสมควรเพื่อจะได้จำหน่ายไฟฟ้านั้น แลขุดถนนหนทางแลที่อื่น ๆ ทุกแห่งเหนสมควรว่าจะต้องฝังลวดใต้ดิน...

แลการที่ใช้ไฟฟ้าบัดนี้เป็นการถือเป็นแน่แล้ว ได้เห็นแต่การที่ได้ทำดีขึ้นมากในเครื่องจักที่จะบังเกิดไฟฟ้า แลการจำหน่ายไฟฟ้านั้น ก็ได้ทำเป็นที่หวังใจเหมือนกับไฟก๊าศ...แลในเดี๋ยวนี้ก็ได้ถูกกว่าไฟก๊าศ แลแสงไฟฟ้ายังสว่างยิ่งกว่าไฟก๊าศ 50 ส่วน แลบัดนี้ใช้กันที่เมืองอังกฤษแลเมืองอเมริกา ในทุกประเทศในคอนติเนนยุโรป...

 

วันที่ 24 เมษายน พ.. 2429 มิสเตอร์อิแยแวลซ์มีหนังสือทูลกรมหมื่นเทวะวงษ-วโรประการ เสนาบดีว่าการต่างประเทศ เรื่องแมมโมแรนดำ (Memorandum) รายละเอียดราคาไฟฟ้า เพื่อให้พิจารณา ความว่า

...ข้อ 2 ...กุมปนี จะฝังแลตั้งเครื่องซึ่งจะต้องการใช้นั้น คือสายตะกั่วแลสายลวด แลจะตั้งเสาทั้งสิ้นที่ต้องการจุดไฟฟ้าตามถนนนั้น ของกุมปนีเองเสียค่าใช้จ่ายแลราคา แลกุมปนีจะให้โคมทั้งหมดสำหรับจุดไฟฟ้าตามถนนแลจะรักษาโคมนั้นด้วย

ข้อ 3 ...ตอนแรกซึ่งจะจุดไฟฟ้า...จะจับตั้งแต่ประตูวังแลตลอดไปในเมือง แลถนนเจริญกรุงไปจนถึงโอเรียนต้นโฮเตล แลในงวดแรกนั้นจะใช้โคม 100 หนึ่ง แล้วจะทวีขึ้นไปคราว ๆ ตามจะเห็นควร

 

 

494 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ข้อ 4 ...โคมใบหนึ่งจุดไฟร้อนกล้าสว่างเท่ากับโคมเทียน 50 เล่ม ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น ประมาณเดือนหนึ่งจุด 27 คืน กลางเดือนจะไม่เลิกจุด ราคาจุดไฟฟ้านั้นทั้งหมดโคมหนึ่งจะเป็นเงินเดือนละ 2.50 เหรียญ (ไฟก๊าศที่เมืองสิงคโปร์จุดละ 2.70 เหรียญ)

ข้อ 5 ว่าไฟฟ้าซึ่งจุดตามบ้านไปรเวศนั้น จะกำหนดราคาจุดหนึ่งก็ยาก เพราะต้องจุดตามแต่การ แต่จุดไฟฟ้าราคาถูกกับไฟก๊าด แลแสงไฟฟ้าก็สว่างกว่าหลายส่วน...ตามราคาไฟก๊าดจุดที่เมืองสิงคโปร์ที่เมืองฮ่องกงและเมืองเซี่ยงไฮ้ แลเมืองอื่น ๆ คิดราคาพันพุกสี่เหลี่ยมเป็นเงิน 3 เหรียญ คงเป็นเงินเดือนละ 3.15 เหรียญ ถ้าจะจุดไฟฟ้าแล้วจะเป็นราคาแต่เดือนละ 2.47 เหรียญ และแสงไฟเท่าจุดเทียนยี่สิบสี่เล่มและไฟก๊าดที่จุดนั้นแสงไฟสว่างเท่าจุดเทียนเก้าเล่ม...

 

การนำไฟฟ้ามาใช้เป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญของการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างยิ่ง เพราะเกี่ยวกับเครื่องตรวจโรคต่าง ๆ จาก Memorandum ของมิสเตอร์อิแยแวลซ์ช่วยทำให้เข้าใจสภาพบ้านเมืองของกรุงเทพมหานครว่า ในปี พ.. 2429 ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ กำลังจะนำเข้ามาใช้ แทนการจุดโคมไฟที่ใช้น้ำมันก๊าดและการจุดเทียน และประเทศใกล้เคียงเริ่มนำไฟฟ้ามาใช้ก่อนหน้าไม่นานเช่นกัน

 

2429 - 3 สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษประกาศพระราชบัญญัติ

สยามออเดออินเคาน์ซิล” (Siam Order in Council)

กฎหมายอังกฤษฉบับนี้มีอำนาจควบคุมคนในบังคับอังกฤษที่อาศัยอยู่ในประเทศสยาม

วันที่ 6 เมษายน พ.. 2429 สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษเสด็จประทับพร้อมด้วยปรีวิเคาน์ซิล มีพระราชเสาวนีย์ดำรัสให้ตั้งพระราชบัญญัติสยามออเดออินเคาน์ซิลดังคำปรารภว่า

 

...ด้วยสมเดจพระนางเจ้ามีอำนาจบังคับบัญชาในพระราชอานาเขตรสมเดจพระเจ้าแผ่นดินสยาม เพราะดังนั้นบัตนี้สมเดจพระนางเจ้าโดยอำนาจเพื่อการนี้ตามที่กำหนดไว้ในลักษณเฟรนยูริศติกเชอนแอกต์ที่ทำไว้ระหว่าง ปีคฤกตศักราช 1843 และ 1878 ในปีที่ 20 และ 21 ของพระนางเจ้า บท 75 แลอำนาจอื่น ๆ ที่มีอยู่ในพระองค์ก็ได้ทรงพระราชดำริหปฤกษาพร้อมด้วยปรีวิเคาน์ซิน มีพระราชเสาวนีดำหรัศให้ตราเป็นพระราชบัญญัติดังนี้...

 

2429 - 4 การผลิตน้ำประปาในสยาม

วันที่ 7 เมษายน พ.. 2429 มิสเตอร์แกรซีคิดจัดหาน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค โดยมีหนังสือกราบบังคมทูลและเอกสารแนบท้ายอธิบายความสำคัญของการใช้น้ำสะอาดในกรุงเทพฯ ดังนี้

 

 

495 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

...น้ำที่ใช้อยู่ในเดี๋ยวนี้สำหรับการบ้านเมืองและการอื่น ๆ เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคต่าง ๆ เหมือนอหิวาตกโรค โรคบิด เปนไข้ไตฟอย ซึ่งมีอยู่เนือง ๆ แลเปนพยานชัดแจ้งอยู่ว่า เมื่อเกิดไข้อันน่ากลัวอย่างใดขึ้นแล้วที่เมืองนี้ มักจะเป็นขึ้นแก่ราษฎรในกรุงเทพก่อน แลที่ใกล้เคียง แล้วก็แผ่ไปตลอดเมือง แลโรคเหล่านี้มักจะเปนขึ้นในฤดูแล้ง เมื่อน้ำในลำแม่น้ำกร่อยไปมาก...

 

วันที่ 24 เมษายน พ.. 2429 มิสเตอร์แกรซีกราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการ เสนาบดีว่าการต่างประเทศ ความว่า

 

...ด้วยข้าพเจ้าได้ยินคนร้องมากต่อมากว่า น้ำกร่อยในลำแม่น้ำแลราษฎรที่ต้องใช้น้ำนั้นได้ความไข้ชั่วร้ายเปนอันมาก แลข้าพเจ้ามีความวิตกด้วยว่า ถ้าช้านานไป การที่จะต้องเซอเวที่ ถ้าไม่ได้เซอเว โดยก่อนรดูฝน แลน้ำได้ท่วมที่นั้นแล้ว ก็จะเปนการลำบากมาก ข้าพเจ้าจึงขอเสดจได้โปรดกำหนดเวลาวันหนึ่งตามที่เสดจเหนสมควร จะได้นำเรื่อง...ไปถวายพระเจ้าแผ่นดินสยาม...

คำแปล หนังสือของมิสเตอร์แกรซี

 

เดือนเอปริล คฤษตศักราช 1886

...ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานกราบบังคมทูลด้วยการสำคัญใหญ่อย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องในความเจริญผาศุขแห่งอาณาประชาราษฎร์ในกรุงเทพฯ นี้ คือการที่จะจัดให้มีน้ำบริสุทใช้ทั่วไปในกรุงเทพฯ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าเหนว่าเปนการสำคัญรีบร้อนใช่แต่ในประโยชน์กรุงเทพฯ แห่งเดียว แต่ทั่วไปในพระราช-อาณาเขตรซึ่งมีความเจริญโดยอาไศรยความเจริญแห่งกรุงเทพฯ

เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้ตริตรองในความเรื่องนี้แล้ว ก็ได้ปฤกษา ดอกเตอวิลิศ ขอความเห็นดอกเตอร์วิลิศจึ่งได้เขียนหนังสือชี้แจงความเหนมาตามที่ข้าพระพุทธเจ้าคัดสำเนาถวายมาด้วยนี้ แลตามความเหนดอกเตอวิลิศ แลการที่ได้ชัณสูตรน้ำก็ปรากฎชัดว่าน้ำที่ใช้ในกรุงเทพนี้เปนที่น่ากลัวจะเปนอันตรายแก่ความเจริญแห่งราษฎร แลเปนที่ให้บังเกิดโรคไภย...

เหนว่าในกรุงเทพฯ นี้ไม่ควรจะทำให้เปนการใหญ่ที่จะลงทุนมากไป...ควรจะขุดเป็นคลองน้ำใส สำหรับใช้การสิ่งนี้อย่างเดียว คลองนั้น ควรจะขุดมาถึงตำบลแห่งหนึ่งแห่งใด ที่ดินไม่เคมแลไม่มีของโสโครก แลในที่นั้นให้ทำเป็นสระใหญ่ แลมีเครื่องกรองให้ใสบริสุทธิ์ แล้วให้มีเครื่องสูบน้ำเข้าไปในท่อทำด้วยอิฐปูน ให้สูงพ้นน้ำขึ้นท่วมได้ ท่อนั้นให้ไขน้ำเข้ามาในกรุงเทพฯ แลที่นั้น ให้ทำสระน้ำใหญ่ ขังน้ำนั้นไว้ แล้วมีเครื่องสูบขึ้นไว้ในถังสูงพอ

 

 

496 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

496_เจ้าพนักงานการประปา ไม่ทราบปีที่ถ่ายภาพ

เจ้าพนักงานการประปา ไม่ทราบปีที่ถ่ายภาพ

ที่มา : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

 

สมควรที่จะให้น้ำเดินตามท่อทั่วไป แลขึ้นถึงหลังคาตึกที่สูง ถังนั้นให้แบ่งเปนสองส่วนก็ได้ ส่วนหนึ่งให้ใส่น้ำสะอาด ส่วนหนึ่งใส่น้ำสำหรับใช้รดถนน ดับไฟ ล้างบ้านและทำการอื่น ๆ...

 

วันที่ 1 พฤษภาคม พ.. 2429 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงษวโรประการ เสนาบดีว่าการต่างประเทศ มีหนังสือกราบบังคมทูล ความว่า มิสเตอร์แกรซีคิดจะขอพระราชทานพระราชานุญาตที่คิดจะทำการสูบน้ำให้คนใช้น้ำใสสะอาด พร้อมแนบหนังสือสัญญาข้อตกลงมา ชื่อ เมมโมเรนดัม ขอพระบรมราชานุญาตขุดสระแลคลองขังน้ำคล้ายกับที่พระยาโชฎึกทำอยู่แต่ไม่ได้ผล ทรงถวายความเห็นว่า การเรื่องน้ำใสสะอาดเป็นเรื่องที่ดีของบ้านเมืองอย่างสำคัญนัก เมื่อทรงพระกรุณาโปรดประการใด จะได้ดำเนินการตามกระแสพระราชดำริให้ตลอด

การใช้น้ำสะอาดในการบริโภคของประชาชน สมัยนี้เรียกว่าน้ำบริสุทธิ์เป็นเรื่องสำคัญในการป้องกันโรคระบาดและใช้ในงานต่าง ๆ ของโรงพยาบาลแบบตะวันตก การจัดให้มีระบบทำให้น้ำสะอาดโดยการขุดคลองกักเก็บน้ำแยก ป้องกันการปนเปื้อนสิ่งสกปรก และมีระบบกรองน้ำ คือการผลิตน้ำประปาในปัจจุบัน เป็นเทคโนโลยีของอังกฤษที่เข้ามาทางสิงคโปร์เช่นเดียวกับเรื่องไฟฟ้า มิสเตอร์แกรซีเป็นสถาปนิกหลวงคนสำคัญ และหมอวิลลิศแห่งสถานทูตอังกฤษถือเป็นบุคคลสำคัญที่เสนอแนะในการผลิตน้ำสะอาด รวมทั้งการเสนอให้จัดตั้งโรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลแบบตะวันตก

 

 

497 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2429 - 5 ปฏิรูปการคลัง จัดราชการพระคลังมหาสมบัติ

วันที่ 20 เมษายน พ.. 2429 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กราบบังคมทูลถวายรายงานจัดราชการพระคลังมหาสมบัติ ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงษวโร-ประการ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ ถวายรายงาน รวมทั้งความเห็นของพระยาภาสกรวงศ์ เกี่ยวกับเรื่องที่จะจัดราชการพระคลังมหาสมบัติ เป็นรายงานจัดราชการ 15 แผ่น และร่างพระราชบัญญัติ 9 แผ่น

 

2429 - 6 พระบรมราชโองการในการจัดน้ำแจกราษฎร

วันที่ 24 เมษายน พ.. 2429 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี รับพระบรมราชโองการในการจัดน้ำแจกราษฎร เนื่องจากน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาลดลง ทำให้น้ำทะเลหนุนขึ้นมา เป็นผลให้น้ำกร่อย ไม่สามารถใช้บริโภคได้ จึงจัดคนตั้งเป็นกองตักน้ำ ไปตักน้ำที่นนทบุรี ใส่เรือน้ำได้มากกว่า 20 ลำ มาแจกจ่ายราษฎรที่ประสบปัญหากว่า 46 ตำบล

 

2429 - 7 สถาปนาพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร

เป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ

วันที่ 21 พฤษภาคม พ.. 2429 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร เป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ

 

2429 - 8 พระราชทานสิ่งของและยาแก่กองทัพปราบฮ่อ

วันที่ 1 สิงหาคม พ.. 2429 พระราชทานสิ่งของแก่กองทัพที่นำโดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม และกองทัพจมื่นไวยวรนาถ (เจิม แสง-ชูโต) ในการไปปราบฮ่อ โดยมีแนบบาญชีรายสิ่งของและยาที่พระราชทาน จำนวน 3 แผ่น

 

ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชทานลายพระราชหัตถเลขา ฉบับ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้าปฤกษาพร้อมกันด้วยสิ่งของ คือ เสื้อผ้าแลยาสำหรับรักษาไข้เจ็บเปนต้น ซึ่งจะส่งขึ้นไปพระราชทานกองทัพพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษศิลปาคม และกองทัพเจ้าหมื่นไวยวรนารถ

(1) ว่าของที่ตระเตรียมขึ้นไปจะพออยู่เพียงเท่าใด จะควรต้องส่งเพิ่มเติมขึ้นไปอีกบ้างฤๅอย่างไร

(2) จะควรส่งเมื่อใด พาหนะที่จะขนส่งอย่างใด ให้ข้าพระพุทธเจ้าปฤกษากันคิดกะการให้ตลอดนั้น พระเดชพระคุณล้นเกล้าฯ หาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้าได้รับใส่เกล้าฯ ประชุมปฤกษาพร้อมกัน เหนด้วยเกล้าฯ ว่า

...เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มของออฟฟิเซอร์...

 

 

498 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

ยารักษาไข้เจ็บ นั้นเปนของที่ต้องใช้เปนอันมากอยู่เสมอ แลได้ทราบเกล้าฯ ว่า ดูเหมือนที่ตระเตรียมขึ้นไปจะไม่ใคร่พอทั้ง 2 กอง จึงเหนด้วยเกล้าฯ ว่า ยาบางอย่าง คือ ยาควินินอย่าง 1 ยาคลอรอดินอย่าง 1 ยาเมล็ดบันจุแก้ไข้ของหมอกาแวนอย่าง 1 ดีเกลืออย่าง 1 เหล่านี้เปนของสำคัญควรจะต้องส่งขึ้นไป แต่ประมาณยาที่จะต้องส่งอย่างละมากน้อยเท่าใดนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้ให้หมอเกาแวนคิดกะที่จะใช้ให้พอในคน 4000 คน ตลอด 6 เดือน แจ้งอยู่ในบัญชีที่กะนั้นแล้ว เกลือ นั้นข้าพระพุทธเจ้าพระยาศรีสิงหเทพ ทราบเกล้าฯ ว่ายังมีอยู่ที่เมืองพิไชย เมืองพิศณุโลกย์มาก เหนพอจะจ่ายใช้ในราชการได้

...ข้าพระพุทธเจ้าเหนด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า ถ้าจัดการเช่นนี้ พระราช-ประสงค์ที่จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานสิ่งของแลยารักษาไข้ให้เปนกำลังราชการ แก่ผู้ไปราชการทัพในทางกันดานทั้ง 2 กอง คงจะสำเร็จตลอดไปได้ทุกประการ

ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้า

อดิศรอุดมเดช

ดำรงราชานุภาพ

นริศรานุวัตติวงศ์

พระยาศรีสิงหเทพ

หลวงนายสิทธิ

 

 

หมายเหตุ

การพระราชทานยารักษาโรค เสื้อผ้า สิ่งของแก่กองทัพทหารปราบฮ่อในครั้งนี้ ได้กลายเป็นรูปแบบการดำเนินการของสภาอุณาโลมแดงแห่งชาติสยามตลอดสมัยรัชกาลที่ 5 ดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาตอบในหนังสือกราบบังคมทูลของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เมื่อวันที่ 26 เมษายน ร.. 112 (.. 2436) (วันก่อตั้งสภากาชาดไทย) ความว่า แต่เมื่อยังไม่ถึงการสงคราม จะยังไม่เปนการจำเปนต้องออกเงินจ้างคน ส่งแต่เพียงยาแลผ้าซึ่ง เคยได้ทำมาครั้งทัพฮ่อ แต่ก่อนก็เห็นจะพอ

 

 

2429 - 9 ปฏิรูปกฎหมายศาลพระราชบัญญัติสำหรับศาลยุติธรรม

วันที่ 24 พฤษภาคม พ.. 2429 พระยาศรีสุนทรโวหารกราบบังคมทูลเรื่องการพิมพ์พระกระแสพระบรมราชโองการ ซึ่งให้กอมมิตตีตรวจตราข้อพระราชบัญญัติสำหรับศาลยุติธรรม กับหนังสือพระราชบัญญัติทั้ง 4 ลักษณะ แจกส่งไปยังพระบรมวงศานุวงษ 18 พระองค์ ข้าราชการ 51 นาย รวม 69 และเชิญประชุมพร้อมกันไปแล้วเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.. 2429 “...จึ่งตกลงพร้อมกันว่า การเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่ศุขทุกข์แลความเจริญพินาศของราษฎรซึ่งอยู่ในพระราชอาณาเขตร ย่อมอาไศรยในการเรื่องนี้เปนต้นเหตุที่จะให้เปนผลดีฤๅชั่วสืบไป...”

 

 

499 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

2429 - 10 หมอแมคฟาร์แลนด์ กรมทหารมหาดเล็ก แผนกการโรงเรียน ขอขึ้นเงินเดือน

วันที่ 5 กรกฎาคม พ.. 2429 หมอเอส. จี. แมคฟาร์แลนด์ (Samuel Gamble McFarland) กราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็ก ความย่อว่า ได้รับราชการในรัฐบาลสยามมา 8 ปีเต็มแล้ว ขอขึ้นเงินเดือน และขอเงินค่าจ้างแปลหนังสือเรื่องวิทยาการต่าง ๆ ที่หมอแมคฟาร์แลนด์ไปจัดการว่าคนอื่นจ้างให้แปลอีกที เพราะหนังสือแปลทั้งหมดทำเสร็จแล้ว

วันที่ 21 สิงหาคม พ.. 2429 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ มีหนังสือกราบบังคมทูล ความว่า หมอแมคฟาร์แลนด์ขอขึ้นเงินเดือน จากปีละ 60 ชั่งเป็นปีละ 100 ชั่ง โดยทรงเห็นว่าหมอแมคฟาร์แลนด์มีคุณวิเศษกว่าผู้อื่นอยู่อย่างหนึ่ง คือ การแปลหนังสือได้ อาศัยใช้แปลตำราเรียนอยู่เสมอ

 

หมายเหตุ

ศาสนาจารย์เอส. จี. แมคฟาร์แลนด์ (Samuel Gamble McFarland) มิชชันนารีในคณะเพรสไบทีเรียน เดินทางมาถึงสยามในปี พ.. 2403 ดำเนินการเผยแพร่ศาสนาโดยใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรีถึง 17 ปี และใช้เวลาในการศึกษาภาษาไทย จนสามารถจัดทำพจนานุกรมขึ้นเองได้สำเร็จในปี พ.. 2408 English and Siamese Vocabulary ฉบับพิมพ์ครั้งแรกได้บรรจุคำเอาไว้จำนวน 7,500 คำ โดยท่านได้จัดพิมพ์ขึ้นเองที่โรงพิมพ์ของท่านที่จังหวัดเพชรบุรี และตั้งโรงเรียนขึ้นด้วย ต่อมาได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้มาเป็นอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียนสวนอนันต์ณ สวนนันทอุทยานฝั่งธนบุรี ที่ทางรัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นในปี พ.. 2421 ท่านเสียชีวิตในปี พ.. 2440 ท่านเป็นบิดาของพระอาจวิทยาคม หรือนายแพทย์ยอร์ช แมคฟาร์แลนด์

 

499_ศาสนาจารย์เอส. จี.

ศาสนาจารย์เอส. จี. แมคฟาร์แลนด์

 

 

2429 - 11 ปฏิรูปการปกครอง กรมพระนครบาล

วันที่ 15 กันยายน พ.. 2429 ประกาศเปลี่ยนอธิบดีกรมพระนครบาล

 

...ในเวลานี้เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิซึ่งเปนผู้บังคับการกรมพระนครบาล จัดการปราบปรามโจรผู้ร้ายไม่สงบเรียบร้อย... จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิออกจากตำแหน่งผู้บังคับการกรมพระนครบาล...ทรงพระราชดำริห์ว่าเวลานี้ กำลังคิดที่จะจัดการศาลสถิตยยุติธรรมอยู่ ครั้นจะตั้งตำแหน่งขึ้นตามเดิม ก็จะเปนที่จัดการภายหลังยาก ด้วยถ้อยความจะเกี่ยวพันธกัน แลเวลานี้ ความในกรม

 

 

500 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

พระนครบาลก็ได้ยกเข้ามาชำระในพระบรมมหาราชวังรวมกับกรมพระตำรวจ ซึ่งเปนกองจับโจรผู้ร้ายมาชำระ...จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศวรฤทธิ 1 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองคเจ้าสวัสดิโสภณ 1 พระยาเทพประชุน ผู้ว่าที่เกษตราธิบดี 1 พระยาธรรมสารนิติวิชิตรภักดี 1 ทั้งสี่นี้เปนผู้มีอำนาจปฤกษาพร้อมกันบังคับการสิทธิขาด ในตำแหน่งที่เสนาบดีกรมพระนครบาล...ถ้าผู้ใดมีความเกี่ยวข้องในตำแหน่งกรมพระนครบาลนั้นก็ให้ไปแจ้งความต่อกอมมิตตีทั้งสี่ ซึ่งกล่าวมาแล้วทุกประการ...

 

2429 - 12 หนังสือกราบบังคมทูลเรื่องการฝึกหัดวิชาหมอของหมอวิลลิศ

ต้นกำเนิดการแพทย์แผนปัจจุบันฉบับที่สอง

วันที่ 15 ธันวาคม พ.. 2429 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็ก กราบบังคมทูลเรื่องการฝึกหัดวิชาหมอของหมอวิลลิศ ดังนี้

 

...ด้วยหมอวิลเลียม วิลลิศ ซึ่งเป็น หมอรับราชการ ณ สำนักราชทูตอังกฤษ ขึ้นมาหาข้าพระพุทธเจ้า แล้วมอบจดหมายขอให้ข้าพระพุทธเจ้านำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายฉบับ 1 ใจความว่า หมอวิลลิศจะยอมรับฝึกสอนผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งเคาเวอนเมนต์สยามจะจัดให้เล่าเรียนวิชาหมอให้ชำนิชำนาญ...(ต้นฉบับเลือน)... พระราชทานเป็นเงินเดือนค่าฝึกสอนตามสมควร เนื้อความแจ้งอยู่ในต้นจดหมายของหมอวิลลิศซึ่งพระพุทธเจ้าได้สอดผนึกทูลเกล้าฯ ถวายแล้วนั้น

การเรื่องนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าว่า ซึ่งจะได้ฝึกหัดให้ไทยชำนิชำนาญวิชาหมอฝรั่งนั้น เป็นการประกอบด้วยประโยชนเป็นอันมากโดยไม่ต้องสงไสยเลย เว้นแต่จะฝึกหัดตามเช่นหมอวิลลิศรับนี้ ฤๅจะฝึกหัดได้ด้วยอย่างอื่นประการใดนั้น ไม่เป็นกำหนด สักแต่ว่าได้ฝึกหัดแล้วคงเป็นคุณอย่างยิ่ง...

 

 

501 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

502_1

 

 

 

502 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

502_2

หนังสือกราบบังคมทูลของหมอวิลเลียม วิลลิศ

ที่มา : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ มร 5 นก/77

 

 

503 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

จดหมายแนบ - หมอวิลเลียม วิลลิศ

16 December 1886

For many reasons it appears to the under signed desirable that His Majesty’s Government should afford facilities to the young Doctors of Siam to gain an insight into the essentials of modern Medical and Surgical Science.

Everyone knows that competent surgeons form an indis-pensable element of a really efficient Army or Navy.

In these days of machinery and traveling by stream everyone from high to low is liable to accident, and life or limb may depend upon the surgical and medical skill available.

Of a truth it may be said that the more a Country advances in knowledge and civilization the more need is there for carefully trained Surgeons and Physicians.

Young men of this country about the age twenty, and as far as possible with some knowledge of English should be induced to undertake the study of modern Surgical and Medical Science in the hope of future has usable and profitable employment in the service of their Country.

The undersigned begs to offer his services as a Teacher of Medical and Surgical Science at a salary of Two hundred Dollars a month.

He would give instruction for two hours daily. He is object would be to impart as much practical knowledge as possible and his pupils useful doctors with all possible speed.

Should the Siamese Authorities see fit to gage the services of the Undersigned as a Fear of Medical and Surgical Science, it would be of to them at anytime to discontinue the services, the undersigned by giving him three months’ notice of their intention to annual his engagement.

All questions of detail such as the number of Pupils, the place of instruction, the most suitable hours for tuition could be discussed and arranged.

The Undersigned begs to say that he had an extensive

 

 

504 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

experience as a teacher of medical and surgical science, and that he possesses the highest qualifications in the different Department of his Profession.

(Signed) William Willis

Doctor of Medicine of the University of Edinburgh

Fellow of the Royal College of Surgeons of England

Member of the Royal College of Physicians of London

Licentiable of the Society of Apothecaries of London

Licentiable in Midwifery, Rotunda Dublin

 

.. 2430

 

2430 - 1สำเนาความที่จะจัดการทหารและรายงานจัดการแก้ไขการทหาร

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.. 2430 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นอดิศรอุดมเดช พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนนริศรานุวัตติวงศ์ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ และหลวงประสิทธิ ได้เข้าชื่อกันถวายหนังสือกราบบังคมทูลเรื่องแก้ไขการจัดการทหารให้เป็นแบบแผนตามแบบประเทศอื่น โดยทูลเกล้าฯ ถวายสำเนาความที่จะจัดการทหารยาว 5 หน้า ว่าด้วยโครงสร้างกรมทหารแบบตะวันตก ชื่อตำแหน่งยศทหารเป็นภาษาอังกฤษและวิธีการแบ่งโครงสร้างข้าราชการเป็นแบบตะวันตกสำเนาความที่จะจัดการทหารเป็นเอกสารหนึ่งในการจัดตั้งกรมยุทธนาธิการ

 

...ตั้งแต่กรมทหารทั้งปวงประนีประนอมพร้อมใจกัน จัดการประชุมสโมสรสันนิบาตใหญ่ที่โรงทหารน่า เฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เป็นการสำเร็จเรียบร้อยได้ดังประสงค์ เพราะความพร้อมเพรียงกันครั้งนั้นมา เป็นเหตุให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงชื่นชมยินดี แลมั่นหมายใจว่า เพราะอานุภาพพระบารมีเป็นเหตุให้กรมทหารทั้งปวงปรองดองกันได้ฉนี้แล้ว แต่นี้ไปราชการทหารซึ่งได้ร่วงโรยแลขัดข้องมา เพราะเหตุที่เสื่อมความสามัคคีต่อกันเป็นต้นนั้น คงจะกลับเรียบร้อยด้วยความปรองดอง...

ความขัดข้องฤๅความไม่เจริญของราชการทหาร ดั่งได้เป็นมาแล้วช้านาน...ในชั้นต้น ข้าพระพุทธเจ้าขอรับพระราชทานพระบรมราชวโรกาศ กราบบังคมทูลพระกรุณาถึงความเสื่อมเสียของราชการทหารที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ก่อน

ราชการทหารอย่างเช่นเป็นอยู่ในเวลานี้ ถ้ากำหนดโดยเป็นกำลังของประเทศก็เห็นได้ว่าอ่อนแอมาก ไม่พอทั้งที่จะรับรองต่อสู้ฤๅกระทำการรบ

 

 

505 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

พุ่งกับราชศัตรู...ความอ่อนแอซึ่งเป็นข้อสำคัญนั้น คือที่ไม่มีขนบธรรมเนียมอันเป็นหลักถานที่จะบังคับบัญชาการทหารเท่านี้เป็นต้นเค้าของความเสื่อมเสียอ่อนแอทั้งปวงที่เป็นมา จนถึงทหารฝึกหัดวิธีรบพุ่งก็เป็นกรมละอย่างกัน ๆ เข้ากันไม่ได้ กฎหมายธรรมเนียมที่บังคับบัญชาก็เป็นกรมละอย่างกัน ๆ เข้าใจกันไม่ได้ ผู้บังคับการกรมทหารต่างกรมต่างก็คิดอ่านจัดการในกรมนั้นตามที่ตนเห็นชอบเห็นควรอย่างไร จนแตกร้าวไม่ปรองดองกันได้...ความเสื่อมเสียนอกไปจากเหล่านี้ยังมีอีกหลายประการ แม้จะพรรณนาก็คงจะยืดยาวเหลือเกิน...

 

การซึ่งจะจัดทหารให้เรียบร้อยต้องตามแบบแผนอันสมควรนั้น เป็นความแน่แท้ที่จะสำเร็จโดยพลันไม่ได้ เพราะวิชาแลแบบแผนการทหาร ซึ่งประเทศอื่นได้ตั้งขึ้นไว้แล้วเป็นเอนกประการ ต้องอาไศรยจัดการเป็นส่วน ๆ ควรแก่ท่ามกลาง ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ อย่างนี้ว่าเป็นการสมควรอย่างยิ่ง จึงได้ปฤกษากันเรียบเรียงข้อความซึ่งสมควรจะจัดการทหารต่อไปอย่างไร ตามความเห็นซึ่งข้าพระพุทธเจ้าเห็นชอบตกลงพร้อมกันขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาศนำขึ้นทูลเกล้าถวาย แล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประการใด...

วันที่ 31 มีนาคม พ.. 2430 พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการกราบบังคมทูลถวายรายงานจัดการทหารเพิ่มเติมอีก 4 หน้า เพื่อกำหนดตำแหน่งและหน้าที่ต่าง ๆ ของคอมมานอินชีฟและเยเนราลสตาฟ โดยจัดการทหารบกให้เรียบร้อยและเป็นแบบอย่างขึ้นก่อน

 

2430 - 2 รายงานกิจการโรงพยาบาลมิชชันนารี เมืองเพชรบุรี

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.. 2430 คณะมิชชันนารีอเมริกันมีหนังสือกราบทูลรายงานกิจการโรงพยาบาลมิชชันนารี เมืองเพชรบุรี ดังนี้

 

ข้าพเจ้าพวกหมออะเมริกันที่มาอาไศรยอยู่ ณ เมืองเพชรบุรี ขอคำนับแจ้งความมายังพระองค์เจ้า กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ทรงทราบ แลขอโปรดช่วยนำหนังสือนี้กราบถวายบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบด้วยว่า พวกครูอะเมริกันที่มาอาไศรยอยู่ ณ เมืองเพชรบุรี ได้สร้าง ตึกยา ไว้สำหรับรักษาโรคต่างต่างแห่งชาวราษฎรทั้งหลาย แลมีหมอยามาแต่อะเมริกามาอยู่ดูแลการนี้ฯ เมื่อปีกลาย คฤษตกศักราช 1886 (.. 2429) นับคนเจ็บที่มาหาให้รักษาได้ 2396 คน เปนผู้หญิง 678 คน เปนผู้ชาย 806 คน เปนจีน 374 คน เปนลาว 106 คน เปนพระ 140 รูป เปนกะเหรี่ยง 18 คน ที่บาดแผลถูกปืนถูกฟัน ต้องผ่าแลไม่ต้องผ่า ลางที่มีแขนขาหักเปน 119 คน ปลูกฝีเด็ก 500 คน ไปรักษาเขาที่บ้าน 134 คน ที่มารักษาตัวแล

 

 

506 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

รับประทานอยู่ที่ตึกยา 21 คน ให้ยาไป 2885 คน ไปเยี่ยมไข้ 607 หน แต่ที่ได้ไปเยี่ยมฤๅที่เขามาอยู่ที่ตึกก็มิได้เอาค่ารักษา ที่เปนคนมีก็เอาค่ายาแต่ทุน ถ้าจนก็ไม่เอาค่ายา...พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี...(เอกสารชำรุด)...เรี่ยไรในการนี้ รวมเปนเงินเก้าชั่ง แลเงินนี้ได้ส่งไปซื้อยาเมืองนอกมาไว้สำหรับตึกยา แลพวกหมอได้มีความขอบใจที่ท่านทั้งหลายได้ใส่ในการนี้ พวกหมอเหนว่า ในปีนี้การนี้ได้จำเริญ และมีคนมาอาไศรยอยู่ที่ตึกยามากกว่าแต่ก่อน จึ่งคิดว่าควรจะสร้างตึกยาให้ใหญ่กว่าเก่า เพื่อจะสมแก่การ อนึ่งหมอยาได้แปลตำรา...อังกฤษออกไว้ แลได้เลือกคนไว้ให้เรียน...

 

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพระที่นั่งเพชรภูมไพโรจน์ จังหวัดเพชรบุรี ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.. 2430 ซึ่งในการนี้ มีพระบรมราชานุญาตให้มิชชันนารีและหมอที่เพชรบุรีเข้าเฝ้า... มิสเตอร์กันลับ มิศเตอกุเปอ มิศเตอทอมซัน หมออีเดิน เข้าเฝ้าทูลลองธุลีพระบาท...เรื่องตั้งโรงสอนหนังสือแล โรงรักษาคนไข้...

 

2430 - 3 ส่งข้าหลวงไปในการเอกษหิบิเชน เมืองฮานอย

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.. 2430 ด้วยซาเยเดอแฟ ทูตฝรั่งเศสในกรุงสยามแจ้งความต่อเสนาบดีว่าการต่างประเทศว่า ฝรั่งเศสจะมีการเอกษหิบิเชนในเมืองฮานอย... จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระชลธารพินิจจัย ขุนประชาบดีกิจ เป็นข้าหลวงไปช่วยการเอกษหิบิเชนเมืองฮานอย เมื่อวันพุธ แรม 15 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน (ตรงกับวันที่ 30 มีนาคม พ.. 2430) มีบันทึกว่า...ไปดูงาน โรงทหาร โรงปืนใหญ่...โรงหมอมีคนป่วยอยู่มาก ที่โรงหมอมีสวนแลถนนเปนที่สบาย...

 

หนังสือกราบบังคมทูลของพระชลธารพินิจจัย ขุนประชาบดีกิจ กล่าวว่า...ที่เชิงเขาด้านตะวันตก (เมืองแบดนิน) ทำเปนฮอสปิเตลสำหรับรักษาทหารที่ป่วยไข้ มีทหารฝรั่งเศส ทหารญวน ซึ่งป่วยอยู่ในโรงหมอนั้น 200 คน รอบด้านมีบ้านเรือนราษฎรอยู่ประมาณ 500 เรือน...

 

2430 - 4 ตั้งกอมมิตตีจัดการโรงพยาบาล

วันที่ 22 มีนาคม พ.. 2430 และ วันที่ 29 มีนาคม พ.. 2430 พระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชหัตถเลขา ร. ที่ 1061/48 เมื่อ ณ วันอังคาร แรม 14 ค่ำ เดือน 4 ปีจอ อัฐศก จุลศักราช 1248 และ ร. ที่ 1/49 เมื่อ ณ วันอังคาร ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 5 ปีกุนยังเป็นอัฐศก ให้จัดตั้งกอมมิตตีจัดการตั้งโรงพยาบาลให้มีขึ้นสำหรับพระนคร ตามกระแสพระราชดำริโดยตรง

วันที่ 22 มีนาคม พ.. 2430 มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่าด้วยกอมมิตีผู้จัดการโรงพยาบาล ดังความต่อไปนี้

 

 

507 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระมหากรุณาแด่อาณาประชาราษฎร ซึ่งอยู่ในพระราชอาณาจักร แลชนที่ได้เข้ามาพึ่งบรมโพธิสมภารอยู่ในสยามประเทศ พระองค์ได้ทรงพระราชดำริหที่จะแก้อันตรายอันใหญ่ยิ่งของชนทั้งปวง คือ พยาธิ แห่งคนจนอนาถาหาญาติที่จะอุปการะมิได้ จะโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงพยาบาล มีหมอผู้ชำนาญในการโรค แลผู้พยาบาลแลอาหารเลี้ยงแก่คนที่ป่วยไข้นั้นมาช้านานแล้ว แต่พระราชกิจจานุกิจอื่น ๆ มีมาก การจึ่งมิได้จัดตั้งขึ้น แต่ถึงดังนั้นก็ได้ทรงพระราชดำริหในการเรื่องนี้เสมอ บัดนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงษานุวงษแลข้าราชการ ผู้ที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นกอมมิตตีผู้จัดการโรงพยาบาลรักษาคนป่วยไข้ ให้เปนทานแก่อาณาประชาราษฎร ไม่เลือกว่าผู้ใดจะรักษาโรคให้ทั่วกัน ผู้ที่ได้รับพระบรม-ราชานุญาตให้เปนกอมมิตตีจัดการโรงพยาบาล คือ

1) พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศิริธัชสังกาศ

2) พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ

3) พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์

4) พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์

5) พระวงษ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์

6) พระวงษ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฏางค์

7) พระยาโชฎึกราชเศรษฐี

8) หลวงสิทธินายเวร

9) ดอกเตอร์ปีเตอร์ กาแวน

พระราชทานพระบรมราชานุญาต แต่ ณ วันที่ 3 เดือน 4 แรม 14 ค่ำ ปีจอ อัฐศก จุลศักราช 1248 เปนวันที่ 6706 ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้ที่ได้รับพระบรมราชานุญาตแล้วนี้ ได้ประชุมกันในพระบรม-มหาราชวัง คิดการที่จะได้จัดการโรงพยาบาลนี้ ตกลงเปนจะตั้งขึ้นในฝั่งตวันตกลำน้ำที่วังกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขฝ่ายหลัง คือวังหลัง เพราะในที่นั้น เวลาบัดนี้ก็เปนที่รกร้างว่างเปล่า แลเป็นที่อุดมด้วยต้นไม้ที่อาไศรยร่มเยน และสรรพ์ทั้งปวงสมควรที่จะเป็นที่ป้องกันความไข้เจบ แลเป็นที่สุขสบายของคนป่วยไข้ได้ การที่จะจัดทำนั้น บัดนี้ได้ลงมือถากถางร้างอยู่แล้ว การที่จะเปิดรับคนป่วยไข้ คงจะได้เปิดในปีกุนนพศกนี้

 

 

508 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

508

 

 

509 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

509

 

 

 

510 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2430 - 5 ประชุมกอมมิตตีจัดการโรงพยาธิบาล ครั้งที่ 1 30 มีนาคม พ.. 2430

วันที่ 30 มีนาคม พ.. 2430 กอมมิตตีจัดการโรงพยาธิบาล ประชุม ครั้งที่ 1 ดังรายงานต่อไปนี้

April, 87

263 ร. ที่ 110 ไม่ต้องตอบ

รายงานการประชุม ครั้งที่ 1

ผู้ของกอมมิตตี จัดการโรงพยาธิบาล เมื่อ ณ วัน 4 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีกุญยังเป็นอัฐศก จุลศักราช 1248 - 9 เวลาบ่าย 4 โมง จน 5 โมง 45 มินิต เลิก

ผู้ซึ่งมาประชุม

พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศิริธัชสังกาศ 1

พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ 1

พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ 1

พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงษ์ 1

พระวงษ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงษ์ 1

พระวงษ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ 1

พระยาโชฎึกราชเสรฐี 1

หลวงสิทธิ์ นายเวน 1

หมอเกาแวน 1

ข้อความซึ่งได้กล่าวในที่ประชุม

 

ที่ 1 กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เห็นสมควรที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศิริธัชสังกาศ จะเป็นแชแมนของกอมมิตตี

หลวงนายสิทธิ์รับรอง ตกลงพร้อมกัน

 

ที่ 2 ประเทศตำบลใดสมควรจะตั้งโรงพยาธิบาลใหญ่

ตกลงพร้อมกันว่า ที่วังหลังเปนดีกว่าที่อื่น แต่ที่วังหลังอยู่ห่างตลิ่ง มีบ้านเรือนตั้งปิดหมด จะต้องจัดซื้อที่ราษฎรตามลำน้ำยาวสักเส้นหนึ่ง พอทำท่าขึ้นที่โรงพยาธิบาล แต่ข้อที่จะซื้อที่นี้ตกลงจะรอไว้กำหนดแน่ ต่อเมื่อได้เห็นแผนที่ ซึ่งพนักงานกำลังทำอยู่นั้นแล้วมา

 

ที่ 3 โรงพยาธิบาลที่จะตั้งขึ้นนี้ ควรรักษาให้เป็นทานต่อไป ฤาควรจะเรียกค่ารักษาพยาบาล

หมอเกาแวนเห็นว่า ควรรักษาให้เป็นทานทั่วไป พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ทรงรับรอง แต่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ว่า คนไข้มาอยู่รักษา คงต้องกินอาหารที่โรงพยาธิบาล เพราะเหตุนั้น ถ้าคนใดภอเสียให้ได้ ควรจะเรียกบ้างตามสมควร ข้อนี้กอมมิตตีไม่เห็นด้วยหลายคน เพราะเหตุว่า

 

 

511 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ถ้าจะเลือกเรียกบ้างไม่เรียกบ้างเช่นนั้น ยากที่จะกำหนดว่าคนใดควรเสียฤๅไม่ ฤๅควรเสียมากเสียน้อย ฤๅไม่ต้องเสียอย่างใด คงจะเกิดความลำบากยุ่งยากเปนมั่นคง อีกประการหนึ่ง ถ้ากิตติศรับท์ปรากฎว่าโรงพยาธิบาลเรียกเงินค่ารักษาพยาบาล จะชักให้ราษฎรครั่นคร้ามแลเข้าใจผิดไป น่าที่จะไม่ใคร่มีผู้นิยมยินดี หมอเกาแวนจึ่งว่า ควรจัดเป็นการรักษาให้ทาน แต่ให้มีหีบเรี่ยรายตั้งไว้ในโรงพยาธิบาลแห่งหนึ่ง สำหรับผู้ซึ่งจะศรัทธาช่วยเหลือบ้างตามชอบใจ ไม่เป็นการกะเกณฑ์เลย ถ้าผู้ใดที่เขามีพอจะเสียได้บ้าง เขาก็จะเห็นจะมีแก่ใจเข้าเรี่ยรายบ้างอยู่เอง ถึงเขาจะไม่ช่วยเลย ก็ช่างเขา ไม่ควรจะให้เป็นการกะเกณฑ์เป็นอันขาด อย่างนี้ตกลงเห็นชอบพร้อมกัน พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ขอถอนคำที่กล่าวไว้ ยอมให้หมอเกาแวนเป็นถูก

 

ที่ 4 เงินที่สำหรับจะใช้ตั้งต้นจัดการโรงพยาธิบาลจะได้มาจากไหน

กรมหมื่นดำรงราชานุภาพเห็นว่า เงินสำหรับซื้อสิ่งของเพิ่มเติมในหอมิวเซียมเบิกอยู่เดือนละ 10 ชั่งเสมอ เงินรายนี้ไม่ได้จ่ายใช้ซื้อของเพิ่มเติมมิวเซียมมานานแล้ว เป็นแต่เอาไปจ่ายขาดรองราชการต่าง ๆ บ้าง จ่ายขาดตัวในราชการต่าง ๆ บ้าง มีจำนวนอยู่ในบาญชีโดยเลอียด เงินซึ่งเอาไปจ่ายขาดรองราชการนั้น ก็จัดว่ามีตัวเงินอยู่ เพราะถ้าฎีกาตกเมื่อใด ก็คงจะได้ตัวเงินคืนมา คิดรวบรวมดูตัวเงินมิวเซียมที่จะมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 100 ชั่ง ฤๅ 150 ชั่ง แลเงินซึ่งจะเบิกเดือนละ 10 ชั่งนั้นอีก เห็นว่าควรระงับการหาของเพิ่มเติมเข้ามิวเซียมเสียสักคราวหนึ่ง

ขอรับพระราชทานยกเงินมิวเซียมซึ่งมีอยู่ 100 ชั่ง ฤๅ 150 ชั่งนั้นไปเปนทุนลงมือสร้างโรงพยาธิบาลในคราวแรก แลเงินเดือนละ 10 ชั่งนั้น ก็ย้ายไปเปนเงินค่าใช้สอยของการโรงพยาธิบาล อย่างนี้เห็นว่าดีกว่าอย่างอื่น ที่เงินแผ่นดินก็จะยังไม่ต้องเบิกเพิ่มเติม การก็พอจะให้ทำขึ้นได้ ตกลงเห็นชอบพร้อมกันอย่างนี้ แต่กลัวว่าที่จะใช้เดือนละ 10 ชั่ง ถ้ารวมทั้งเงินเดือนแลคนพยาบาลด้วยจะไม่พอ ตั้งแต่แรก ๆ ตั้งเช่นนั้น โต้ตอบกันนาน จึ่งตกลงชั้นหนึ่งว่า เมื่อโรงพยาธิบาลตั้งขึ้นเช่นนี้ ทหารซึ่งป่วยเจ็บคงจะส่งไปรักษาที่โรงพยาธิบาลทุกคน เมื่อเป็นเช่นนั้น ค่ายาที่เบิกรักษาทหารอยู่ตามกรมแลเงินเดือนหมอทหาร ค่าการรักษาพยาบาลทหารต่าง ๆ คงลดลงได้ ถ้าคิดรวมจำนวนเงินที่ลดลงเหล่านี้ ไปเพิ่มที่โรงพยาธิบาลจะพอคุ้มดอกกระมัง ความข้อนี้เห็นพร้อมกันว่า เงินที่จะลดได้ในกรมทหารจะประมาณว่ามากน้อยเท่าใดในเวลานี้ก็ยังไม่ได้ เมื่อประมาณยังไม่ได้ ก็จะกำหนดเงินเพิ่มทางโน้นยังไม่ได้ เพราะฉนั้น ควรเอา เปนตกลงไว้ก่อนว่าจะใช้เดือนละ 10 ชั่ง ถ้าไม่พอจึ่งจะคิดอ่านต่อไป

 

 

512 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

ที่ 5 จะควรลงมือทำโรงพยาธิบาลอย่างไรก่อน

เห็นพร้อมกันว่า ควรจะทำอย่างถูก ๆ คือ ทำเปนเรือนหลังคาจาก ฝาไม้ไผ่ สัก 2 - 3 หลัง พอจับตั้งเป็นเค้าโรงพยาธิบาลไปก่อน เมื่อการเจริญขึ้น เห็นว่าจะตั้งเปนการใหญ่ได้แน่แล้วเมื่อใด จึ่งค่อยคิดอ่านทำตึกแลการอื่น ๆ เต็มที่ การปลูกสร้างที่ควรจะทำในชั้นต้นนั้น คือ รั้วรอบบริเวณ อย่าง 1

โรงคนไข้ผู้ชาย สำหรับไข้ติดกันได้ หลัง 1 ไข้ไม่ติดกัน หลัง 1

โรงคนไข้ผู้หญิง สำหรับไข้ติดกันได้ หลัง 1 ไข้ไม่ติดกัน หลัง 1

เรือน 2 ชั้น ๆ บนสำหรับหมออยู่ ชั้นล่างเป็นที่ประสมยาแลตรวจคนไข้ หลัง 1

เรือนคนพยาบาล หลัง 1

เว็จ หลัง 1 โรงไว้ศพแลผ่าศพ หลัง 1

พระองค์เจ้าปฤษฎางค์รับคิดตัวอย่างวางแผนที่ แลประมาณราคาเรือนโรงแลการก่อสร้างนี้ให้ทันคอมมิตตีตรวจในคราวประชุมน่า

 

ที่ 6 คอมมิตตีจะประชุมกันเมื่อใดอีก

พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ขอให้ประชุม วัน 6 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุญยังเป็นอัฐศก เวลาบ่าย 4 โมง จริง ๆ คอมมิตตีตกลงแลยอมรับสัญญาที่จะมา 4 โมงจริง ๆ ด้วยกันทุกคน แต่พระยาโชฎึกราชเสรฐีขอลาว่าจะออกไปราชการเมืองสมุทรสาคร จะมาประชุมในคราว วัน 6 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 นั้นไม่ได้

หมดข้อความที่ได้ประชุมครั้งที่ 1

เลิกประชุมเวลา บ่าย 5 โมง 45 มินิต

ศิริธัชสังกาศ

ดำรงราชานุภาพ

ศรีเสาวภางค์

วัฒนานุวงษ์

สายสนิทวงษ์

ปฤษฎางค์

พระยาโชฎึกราชเสรฐี

หลวงนายสิทธิ์

หมอเกาแวน

 

 

513 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2430 - 6 ประชุมกอมมิตตีจัดการโรงพยาธิบาล ครั้งที่ 2

วันที่ 1 เมษายน พ.. 2430 มีการประชุมคณะกอมมิตตีจัดการโรงพยาธิบาล ดังปรากฏรายงานประชุม ณ วันศุกร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุนยังเป็นอัฐศก 1249 เนื้อหาการประชุมสรุปได้ดังนี้ (ดูสำเนาเอกสารต้นฉบับได้ในภาค 3)

ที่ 1 ...กรมหมื่นดำรงราชานุภาพได้อ่านจดหมายข้อความของการประชุมวันที่ 1 เหนว่าถูกถ้วนพร้อมกันแล้ว กอมมิตตีเซนชื่อด้วยกันแล้วให้นำรายงานนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย

ที่ 2 ...กอมมิตตีสมมุติให้พระเจ้าน้องยาเธอศรีเสาวภางค์เปนสิเกตเตอรีของแชแมน...

ที่ 3 การสร้างโรงพยาธิบาลจะเปนการเหมา

ที่ 4 ...พระองค์เจ้าปฤษฎางค์มาถึงที่ประชุม นำแผนที่ตัวอย่างโรงพยาธิบาล...ได้ให้มิสเตอร์ครูนิตคิดประมาณราคาเรือนโรงพยาธิบาลซึ่งกะไว้ในแผนที่นั้น ประมาณสองร้อยสามสิบชั่ง พระองค์เจ้าสายสนิทวงษ์ว่า เดิมจะทำการก่อสร้าง 2 ครั้ง คือ ชั้นต้นเป็นการทดลองทำโรงพยาธิบาลชั้นแรก เพื่อเป็นการทดลองชั้นหนึ่งก่อน เมื่อเห็นว่าตั้งติดแน่แล้ว จึงจะจัดให้เป็นการถาวรต่อไปนั้น พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์เห็นว่า การโรงพยาธิบาลเป็นการสำคัญซึ่งจำเป็นจะต้องมีจงได้ จึงควรก่อสร้างในชั้นเดียวไป ไม่ต้องรื้อทิ้ง ให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ไปแก้ไขแผนที่โรงพยาธิบาลให้บริบูรณ์ในคราวนี้ทีเดียว เมื่อแผนที่กะระยะที่จะปลูกอย่างไรตกลงแล้ว การชั้นต้นจะปลูกกี่หลังก่อนตรงไหนก่อนก็ปลูกลงตามแผนที่นั้น เมื่อการเจริญขึ้นก็ปลูกหลังอื่น ๆ เพิ่มเติมต่อไป กอมมิตตีเห็นชอบตามความเห็นของพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ จึงให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ บุตรของมิสเตอร์ครูนิต และมิสเตอร์ฟรันโดไปช่วยพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทำแผนที่ใหม่ รวม 3 คน

ที่ 5 ...พระองค์เจ้าสายสนิทวงษ์เห็นว่า ที่จะตั้งโรงพยาธิบาลนี้ก็เป็นการดีมีประโยชน์ตอนรักษาโรคอย่างเดียว เห็นควรว่าจะคิดการป้องกันโรคด้วยอีกส่วนหนึ่ง

 

...ตั้งธรรมเนียมตรวจหญิงหาเงิน ถ้าคนใดเจ็บบังคับให้หยุดหาเงินรักษาตัวจนกว่าจะหายก่อนนี่อย่างหนึ่ง ไข้ซึ่งไม่หายได้แลที่มักติดผู้อื่น คือโรคมะเรง แลกุดถังเปนต้น ซึ่งคนไข้เหล่านั้นมักเที่ยวพักอยู่ตามศาลเจ้าแลเที่ยวเดินพลุกพล่านอยู่ตามถนน ควรจะมีที่รักษาคนไข้พวกนี้ด้วยอีกแห่งใดแห่งหนึ่ง อย่าให้เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับราษฎรทั้งปวงนี้อย่างหนึ่ง บ้าเที่ยวเดินอยู่ตามถนนมักทำความอุจาดแลบางทีก็ทำอันตรายให้แก่ผู้อื่น เพราะไม่มีญาติพี่น้องฤๅเหลือกำลังญาติพี่น้องที่จะกักขังไว้ได้ พวกนี้ ควรมีโรงที่รักษาด้วยแห่งหนึ่ง กรมหมื่นดำรงราชานุภาพว่า ความที่พระองค์เจ้าสายสนิทวงษ์กล่าวนี้เปนการชอบยิ่งนักทุกอย่าง แต่เหนว่าการชั้นต้นที่จะปลูกสร้างตั้งโรงพยาธิบาลนั้นควรคิดก่อน การชั้นที่พระองค์เจ้าสายสนิทวงษ์ว่านี้เปนการชั้นหลัง ควรคิดตามต่อเนื่องเมื่อได้ทำชั้นที่หนึ่งตลอดแล้ว ไม่เปนการควรคิดพร้อมกันในเวลานี้ กอมมิตตีเหนชอบ...กรมหมื่นดำรงราชานุภาพยื่นจำนวนเงินมิวเซียมซึ่งมีอยู่จะใช้มาเปนทุนตั้งการโรงพยาธิบาลได้นั้น 243 ชั่ง กำหนดประชุมที่ 3 ในวัน 7 แรม 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุญนพศก...

 

 

514 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2430 - 7พระราชบัญญัติสำหรับตั้งกรมทหาร จ.. 1248

เพื่อจัดตั้งกรมยุทธนาธิการ

วันที่ 8 เมษายน พ.. 2430 พระราชบัญญัติสำหรับตั้งกรมทหาร จ.. 1248 มีคำปรารภว่า

 

...ราชการทหารบกทหารเรือซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นแต่ก่อนแล้วนั้น ยังแยกย้ายกันอยู่เปนหลายหมู่หลายกรม ผู้ที่บังคับบัญชาการในกรมทหารต่าง ๆ นั้นก็ ต่างคนต่างจัดไป โดยน้ำใจของตนที่เหนว่าจะเปนคุณต่อราชการจริง แต่การที่จัดไปนั้นไม่ได้ปฤกษาหาฤๅกันทุกหมู่ทุกกรม ก็แปลกแตกต่างกันไป ไม่ลงเปนแบบแผนได้ เงินแผ่นดินที่ใช้ในการทหารต่าง ๆ นี้ จึ่งไม่มีกำหนดเปนอัตราแน่ได้...ใช่ว่าจะเปนแต่ใช้เงินทองอย่างเดียวเมื่อใด สรรพการฝึกหัดการบังคับบัญชาแลเครื่องสาตราวุธที่ใช้อยู่ก็ไม่ลงเปนแบบแผน การที่เปนอยู่ดังนี้ เปนที่น่ากลัวว่า ถ้ามีเหตุการที่จะต้องใช้กำลังทหารทั่วไปแล้ว จะเกิดเหตุยุ่งใหญ่ จะไม่เปนการดี มีแต่ความพินาศจะพึงเปนมา การที่เปนอยู่เช่นนี้ไม่สมควรจะเปนจะมีอยู่ในราชการบ้านเมืองที่นับว่าเปนเมืองเอกราชได้ ผิดจากธรรมเนียมที่ใช้ในทุกประเทศ...ควรจัดให้เปนแบบแผนสำหรับกรมทหารให้เรียบร้อยเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน...เหมือนอย่างประเทศที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว เพื่อจะได้แก้ไขความเสียในทุกวันนี้ให้หมดสิ้นไป...

 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติจัดการทหาร เมื่อวันศุกร์ แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีกุนยังเป็นอัฐศก จุลศักราช 1248 ตรงกับวันที่ 8 เมษายน พ.. 2430 เพื่อปฏิรูปให้เป็นระบบจัดการแบบใหม่ โดยทรงรวมกรมทหารอย่างใหม่ต่าง ๆ ทหารบก 7 กรม (ข้อความในวงเล็บคือคำที่ใช้ในปัจจุบัน) ได้แก่

1. กรมทหารมหาดเล็ก

2. กรมทหารรักษาพระองค์ (กรมทหารบกราบที่ 2)

3. กรมทหารล้อมวัง (กรมทหารบกราบที่ 11)

4. กรมทหารหน้า (กรมทหารบกราบที่ 4)

5. กรมทหารฝีพาย (กรมทหารบกราบที่ 2)

6. กรมทหารปืนใหญ่ (กรมทหารบกปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์)

7. กรมทหารช้าง (ปัจจุบันเลิกแล้ว)

และกรมทหารเรือ 2 กรม คือ

1. กรมทหารเรือพระที่นั่งเวสาตรี (คือกรมทหารปืนกลแคตเตอลิงในกรมแสงยกเลิกไปเป็นทหารเรือ)

2. กรมอรสุมพล (กองเรือรบ) รวมขึ้นเป็นกรมยุทธนาธิการ

 

 

515 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

และรวมมหาดเล็กของฝ่ายพระราชวังบวร (วังหน้า) เข้ามาเป็นทหารในกรมยุทธนาธิการด้วย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศเป็นผู้บังคับบัญชาการทั่วไปเรียกภาษาอังกฤษว่า คอมมานเดอ อิน ชิฟ แต่ยังทรงพระเยาว์อยู่ จึงให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุพันธุวงษ์วรเดช รักษาราชการแทนไปก่อน และมีผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาการทั่วไป4 ตำแหน่ง คือ

1) เจ้าพนักงานใหญ่ผู้ช่วยบัญชาการทหารบก         (แอดชุแตนด์ เยนเนอราล)

2) เจ้าพนักงานใหญ่ผู้บัญชาการใช้จ่าย                 (เปมาสเตอเยเนอราล)

3) เจ้าพนักงานใหญ่ผู้บัญชาการยุทธภัณฑ์            (ควอดเตอมาสเตอเยเนราล)

4) เจ้าพนักงานใหญ่ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ      (สิเกรตารีตูธีเนวีฯ)

ในพระราชบัญญัติสำหรับตั้งกรมทหาร จ.. 1248 มีการกำหนดตำแหน่งใหม่ เฉพาะระดับบัญชาการกลาง 5 ตำแหน่ง คือ ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ 1 ตำแหน่งและผู้ช่วยผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ 4 ตำแหน่ง กฎหมายนี้ทำให้กำเนิดอำนาจบังคับบัญชาที่เป็นศูนย์กลางของกรมทหารที่จัดการแบบใหม่ 7 กรมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

ส่วนตำแหน่งแพทย์ประจำกองทหารยังคงมีเฉพาะตำแหน่งแพทย์ประจำกองทหารคือ Surgeon (แพทย์ทหาร) และ Hospital Sergeant (นายสิบเอกพยาบาล) อยู่ในบังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชาของกองทหารนั้น ๆ

 

 

หมายเหตุ

กรมยุทธนาธิการคือ กรมทหารบกทหารเรือที่จัดราชการแบบใหม่ตามระบบตะวันตก จัดเป็นกรมขนาดใหญ่เทียบเท่ากระทรวง ในขณะเดียวกัน กรมทหารอื่น ๆ ที่ยังคงเหลือทั้งหมดยังคงเป็นกรมทหารแบบเก่าในสังกัดกรมกลาโหมภายใต้กฎหมายตราสามดวง และอยู่ในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหม ในระยะนี้ประเทศไทยจึงมีระบบราชการทหารซ้อนกัน 2 ระบบ คือ กรมทหารในระบบราชการแบบเก่า (กฎหมายตราสามดวง) คือ กรมกลาโหม พ.. 2430 และกรมทหารในระบบราชการแบบใหม่ (แบบตะวันตก) คือ กรมยุทธนาธิการ พ.. 2430

 

2430 - 8 ย้ายโรงทหารมหาดเล็กไปรวมที่ศาลายุทธนาธิการ

โรงทหารมหาดเล็กที่ตึกใหญ่คลังเชือกเก่าย้ายออกไป ส่วนหนึ่งไปรวมอยู่ที่ศาลายุทธนาธิการ อีกส่วนหนึ่งคือ กองกำลังรักษาพระองค์ ให้อยู่ในพระบรมมหาราชวังที่ตึก 2 ชั้น ด้านทิศตะวันออก

 

2430 - 9 เสนอตั้งกรมศึกษาธิการ เพื่อจัดการศึกษาแบบตะวันตกครั้งแรกของไทย

วันที่ 8 เมษายน พ.. 2430 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ กรมทหารมหาดเล็ก มีหนังสือกราบบังคมทูล ความว่า

 

 

516 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

...การโรงเรียนทั้งปวง แต่แรกเมื่อทรงพระราชดำริห์ให้ข้าพระพุทธเจ้าจัดการขึ้นนั้น ต้องจัดการอาไศรยอยู่กับกรมทหารมหาดเล็กแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ต้องให้กรมทหารมหาดเล็กเบิกเงินให้ แลต้องใช้คนในกรมทหารมหาดเล็กมาเป็นพนักงานจัดการโรงเรียน จนอย่างที่สุด ถึงต้องขอแรงหม่อมเจ้า หม่อมราชวงษ์ ในกรมทหารมหาดเล็ก 11 - 12 คน ไปเป็นนักเรียนตั้งเค้าของโรงเรียนสวนกุหลาบอยู่ช้านาน ถึงได้ถอนกลับมา...

โดยที่ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ก็ค่อยคิดจัดการเล่าเรียนทั้งปวงให้เป็นไปในทางโดยลำพังของการนั้นขึ้นทุกที ๆ จนบัดนี้ การเล่าเรียนก็เป็นแพนกหนึ่งต่างหากจากราชการอื่น ๆ ทุกอย่างแล้ว เว้นแต่บางอย่างเหล่านี้ คือ ตำแหน่งขุนนางที่รับราชการอยู่ในออฟฟิศที่จัดการเล่าเรียน ยังต้องฝากสังกัด อยู่ในกรมทหารมหาดเล็ก (คือ ขุนวรการโกศล เป็นต้นนั้น) บ้าง ต้องฝากไว้ในกรมอาลักษณ์ (คือขุนวิทยา-นุกูลกระวี เป็นต้นนั้น) บ้าง แลที่ยังลอย ๆ (คือเปรียญแลอาจาริย์ทั้งปวง) ก็มีมาก แลเป็นคนที่ยืมมาแต่ทหารมหาดเล็กยังไม่ขาดกรม (คือหลวงสุรยุทธโยธาหาญ แลหม่อมเจ้าอัทยา เป็นต้น) ก็มีบ้าง โดยใจความก็ผู้ซึ่งรับราชการอยู่ในออฟฟิศการเล่าเรียน ยังสังกัดกระจัดกระจายอยู่นั้น...ข้าพระพุทธเจ้าจึ่งเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ในเวลานี้ เพราะเหตุที่การศึกษาจำเป็นจะต้องแยกจากที่เกี่ยวข้องกับการทหารนั้น อย่าง 1 แลเพราะการศึกษาได้มีความเจริญแพร่หลายพอเป็นหลักฐานได้นั้น อย่าง 1 สมควรที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระราชกำหนดให้การศึกษาเป็นกรมหนึ่ง ได้อยู่แล้ว

กรมศึกษาในประเทศอื่น ๆ ตามที่ข้าพระพุทธเจ้าทราบเกล้าฯ อยู่นั้น แตกต่างกันเป็นหลายอย่าง บางประเทศก็เป็นมินิศตีรบ้าง บางประเทศก็เป็นคอมมิตตี มีไวศเปรศิเดนต์ของเคาซิลเป็นหัวน่าบ้าง บางประเทศก็เป็นคอมมิศชั่น มีชิฟคอมมิชันเนอเป็นหัวน่าบ้าง ที่ทราบเกล้าอยู่ 3 อย่างเช่นนี้

 

2430 - 10 ประชุมกอมมิตตีผู้จัดการโรงพยาบาล ครั้งที่ 3

วันที่ 18 เมษายน พ.. 2430 กอมมิตตีผู้จัดการโรงพยาบาลมีหนังสือกราบบังคมทูล หลังจากประชุมมาแล้ว 3 ครั้ง ว่า การนั้นคงจะจัดให้ได้เปิดในเดือน 10 ปีกุนนพศก (ตรงกับเดือนกันยายน พ.. 2430) แลเห็นว่าการนั้นคงเจริญแน่และคณะกรรมการได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต สรุปได้ดังนี้ (ดูสำเนาเอกสารต้นฉบับในภาค 3)

1) ขอรับพระราชทานเงินสำหรับมิวเซียม เดือนละ 10 ชั่ง เป็นเงินสำหรับโรงพยาบาลต่อไป

2) ในวังหลังซึ่งจะทำเป็นที่โรงพยาบาลนั้นเป็นที่ไกลน้ำ มีบ้านเรือนราษฎรบังอยู่ตลอด จึงขอรับพระราชทานเงินในมิวเซียมที่มีอยู่แล้วไปซื้อที่ดินท่าน้ำ ความยาว 1 เส้น ความกว้างจากแม่น้ำถึงวังหลัง 14 วา (28 เมตร)

 

 

517 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

3) เรือนหมออยู่และสำหรับไว้ยาและสอนวิชาแพทย์นั้น จะต้องเป็นเรือนใหญ่ ขอพระราชทานเรือนหลวงในคลองผดุงกรุงเกษม ที่ให้กรมหลวงเทวะวงษวโรประการทำขึ้นพระราชทาน มิสเตอปัลเครฟ กงซุลเยเนราลอังกฤษ มาปลูกเป็นเรือนใหญ่ของโรงพยาบาลจะดีมาก เพราะทำขึ้นยังไม่ทันได้อยู่ มิสเตอปัลเครฟก็ย้ายออกไปเสียแล้ว

4) โรงหมอท่าพระนั้น ทราบว่าจะรื้อ จึงขอรับพระราชทานเครื่องไม้ในโรงหมอท่าพระ ไปใช้ในการโรงพยาธิบาล

 

2430 - 11 ประชุมกอมมิตตีจัดการโรงพยาบาล ครั้งที่ 4

วันที่ 22 เมษายน พ.. 2430 กอมมิตตีโรงพยาบาลประชุมเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีกุนนพศก ศักราช 1249 (ดูสำเนาเอกสารต้นฉบับในภาค 3)

 

คราว 4

ข้อความที่ได้ประชุม

1. พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ได้อ่านสำเนาที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายขอพระบรมราชานุญาต 4 ข้อ และพระราชหัตถ์ทรงตอบแล้ว กอมมิตตีทั้งปวงเห็นพร้อมกันว่าเรื่องที่จะต้องการเรือนหลังใหญ่ในคลองผดุงนั้น ให้กรมหมื่นศิริธัชสังกาศไปทูลหาฤๅกรมหลวงเทวะวงษ...เรื่องโรงหมอท่าพระนั้นมอบให้พระองค์ปฤษฎางค์ไปหาฤๅกับกรมพระนครบาล ส่วนหมอที่อาไศรยอยู่ที่โรงหมอร้องว่าไม่มีที่จะอยู่ ตกลงกันว่าที่ตึกแถวของหลวงข้างวัดพระเชตุพน มีแต่คนเล็กน้อยอาไศรยอยู่ จะมอบให้พระองค์สายสนิทวงษ์ไปพูดกับกรมหมื่นประจักษศิลปาคมให้ย้ายหมอที่ไม่มีบ้านไปอยู่ในที่นั้น

2. ส่วนที่ ๆ จะซื้อเป็นท่าน้ำของโรงพยาบาล...

3. มิสเตอคูลนิชได้นำแปลนโรงพยาบาลแลที่ต่าง ๆ ในการโรงพยาธิบาลนั้นมาให้ดู ตกลงว่าเปนอันใช้ได้ แต่ในชั้นแรกนี้จะคิดถากถางพื้นที่ลงมือทำโรงพยาธิบาลสำหรับคนไข้หลังใหญ่เล็ก 8 หลัง เรือนสำหรับหมออยู่หลังหนึ่ง ครัวหลังหนึ่ง ที่ ๆ จะต้องทำ กว้าง 640 ฟุต ยาว 480 ฟุต

4. พระองค์เจ้าวัฒนานุวงษ์ ซึ่งรับไปหาช่างที่จะเหมาทำโรงเรือนต่าง ๆ ที่ว่ามาแล้วนี้ ได้มาหลายรายแต่ราคาแรงไปบ้าง มีผู้ที่จะรับราคาต่ำกว่าคนคือ หม่อมราชวงษ์สนิท มีราคาดังต่อไปนี้ โรงคนไข้หลังใหญ่ (3) หลัง เครื่องไม้จริงฝาไม้จริงเสาไม้จริงตามตัวอย่างของมิสเตอร์ฟรันโดเหมาเสร็จเป็นเงิน 7200 บาท โรงคนไข้หลังเล็กเหมือนเครื่องหลังใหญ่ทั้งสิ้น (3) หลัง เหมาเสร็จ 2880 บาท เรือนที่จะรื้อมาจากคลองผดุงมาเป็นเรือนหมออยู่ ต้องซ่อมสิ่งที่ชำรุดแลต่อพื้นชั้นล่างเหมาเสร็จ 289 บาท ครัวไฟสำหรับทำกับเข้า 640 บาท สะพานน้ำไม้จริง กว้าง 8 ศอก ยาวพอลงน้ำได้ เหมาเสร็จ 70 บาท รั้วปีกไม้รอบโรงแลเรือนทั้งปวงเหมาเสร็จ 1220 บาท

 

 

518 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

ถนนตามเรือนแลโรงทั้งปวง เหมาทั้งค่าแรงแลสิ่งของ 1032 บาท รวมเสร็จเป็นเงิน 164 ชั่ง 64 บาท เป็นราคาต่ำที่สุดกว่าช่างทั้งปวง จึ่งตกลงพร้อมกันว่าจะให้หม่อมราชวงษ์สนิทรับทำ การที่จะตรวจช่างทำการนั้น ได้มอบให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์แลหลวงนายสิทธิเปนผู้ไปตรวจตราเสมอ

5. ส่วนเงินที่จะลงทุนในชั้นแรก...จะต้องขอพระบรมราชานุญาตยืมเงินพระคลังมาใช้ก่อน

6. ได้อ่านสำเนาถ้อยคำที่ได้ประชุมกันชั้นก่อน กอมมิตตีทั้งปวงได้เซ็นชื่อแล้ว ให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายรายงานเวลาบ่าย 5 โมง 20 มินิต...การประชุมต่อไปยังไม่กำหนด ต่อเมื่อได้ไปดูที่ท่าน้ำแล้วจึ่งจะนัดต่อไป...

 

2430 - 12 รายงานการจัดการศึกษา

วันที่ 4 พฤษภาคม พ.. 2430 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ กราบบังคมทูลเรื่องการจัดการศึกษา โดยแนบตาราง 3 แผ่น เกณฑ์แต่งแลเรียบเรียงแบบเรียน ประกอบด้วย ชื่อหนังสือที่แต่ง 39 เล่ม วิธีเรียบเรียง และผู้ที่จะแต่ง ความว่า...ด้วยการศึกษาซึ่งจะได้ในปีกุนพศกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้กำหนดไว้ว่าจะจัด...จะจัดการ เรียบเรียงแบบเรียน อย่าง 1 จะจัดการ ตั้งโรงเรียนสอนวิชาชั้นสูง อย่าง 1 จะจัดการ ขยายโรงเรียนสอนวิชาอย่างราษฎร อย่าง 1...

 

2430 - 13 ประชุมกอมมิตตีโรงพยาบาล ครั้งที่ 5

วันที่ 4 พฤษภาคม พ.. 2430 กอมมิตตีโรงพยาบาลประชุม ณ วัน 4 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 6 ปีกุนนพศก ศักราช 1249 ความว่า (ดูสำเนาเอกสารต้นฉบับในภาค 3)

 

1) กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ โปรโปดว่า กรมหมื่นศิริธัชสังกาศแชแมนจะเสด็จออกไปเมืองสิงคโปร์ ขอให้หมอกาวันเปนผู้แทนแชแมนไปกว่ากรมหมื่นศิริธัชสังกาศจะกลับมาจากเมืองสิงคโปร์...

2) สิเกรตารีอ่านถ้อยคำที่ได้ปฤกษากันในคราวประชุมที่ กอมมิตตีตกลงว่าถูกต้องแล้ว

3) ได้ปฤกษาเรื่องเงินที่จะให้หม่อมราชวงษ์สนิทไปทำเรือนโรงซึ่งจะเปน โรงพยาบาล เงิน 164 ชั่ง 64 บาท กับเงินค่าที่ดินซึ่งจะทำเปนท่าน้ำโรงพยาบาล 5 เจ้าของ คิดเป็นตรางคืบรวมทั้ง 5 ราย เงิน 28 ชั่ง 26 บาท 55 สตางค์ กับเงินที่จะให้เปนค่ารื้อเรือนแก่หม่อมเจ้าหม่อมราช-วงษซึ่งอยู่ในวังหลัง หลังละ 1 ชั่ง 40 บาท เปนยืมประมาณ 20 ราย เงิน 30 ชั่ง รวมทั้ง 3 อย่างเงิน 223 ชั่ง 10 บาท 55 สตางค์ เปนการจำเปนที่จะต้องใช้ ส่วนเงินมิวเซียมก็ต้องใช้รองราชการเสียโดยมาก จะรอคอยเมื่อฎีกาตกก็จะเนิ่นนานช้าเกินเวลา จึ่งตกลงกันว่า ต้องขอพระราชทาน

 

 

519 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ยืมเงินพระคลังมหาสมบัติมาใช้ให้หม่อมราชวงษ์สนิทไปทำการ เงิน 164 ชั่ง 64 บาท ค่าที่ท่าน้ำเงิน 28 ชั่ง 26 บาท 55 สตางค์ แลค่ารื้อเรือนหม่อมเจ้าหม่อมราชวงษคิดเพียง 10 ราย เงิน 15 ชั่ง รวมเงินที่จะขอพระราชทานยืมพระคลังมหาสมบัติเงิน 209 ชั่ง 10 บาท กับรายเงินมิวเซียมซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ยกมาเปนเงินบำรุงโรงพยาบาลนี้จะต้องขอพระบรมราชานุญาตให้ทรงสั่งพระคลังมหาสมบัติให้กรมหมื่นศิริธัชสังกาศเปนผู้เบิกเงินรายนี้เดือนละ 10 ชั่ง แลทรงสั่งกรมมิวเซียมให้ส่งเงินที่มีตัวแล้วต่อกอมมิตตีโรงพยาบาล เมื่อกอมมิตตีได้รับมาแล้ว เงินรายที่เอาไปรองราชการในกรมทหารมหาดเล็กฎีกาตกมาก็จะได้หักใช้เงินพระคลังซึ่งยืมมา จึ่งตกลงกันให้สิเกรตารีร่างหนังสือขอพระบรมราชานุญาต ทั้ง 3 ข้อ...

 

2430 - 14 กอมมิตตีผู้จัดการโรงพยาบาลถวายรายงานหลังการประชุม ครั้งที่ 5

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.. 2430 กอมมิตตีผู้จัดการโรงพยาบาลกราบบังคมทูลการ 4 ข้อที่ได้รับพระบรมราชานุญาต ความสรุปได้ดังนี้ (ดูสำเนาเอกสารต้นฉบับในภาค 3)

1. ยกเงินสำหรับมิวเซียมที่เบิกมาแล้วไม่ได้ใช้จำนวน 243 ชั่ง และเงินรายเดือนมิวเซียม เดือนละ 10 ชั่ง ให้กอมมิตตีโรงพยาบาลเบิกต่อไป

2. จัดซื้อที่ริมน้ำหน้าพระราชวังหลังเพื่อทำเป็นท่าน้ำโรงพยาบาล

3. ที่ดินในพระราชวังหลังเป็นที่รกร้างว่างเปล่า บางแห่งก็เป็นตำหนักเก่า ๆ มีหม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ในพระราชวังหลังอาศัยอยู่ มีคนอื่นบุกรุกเข้าไปอาศัยปลูกอยู่บ้าง กอมมิตตีจึงให้เงินหม่อมเจ้าหม่อมราชวงศ์ไปปลูกบ้านใหม่ที่ฉางเกลือริมพระราชวังหลัง ส่วนคนบุกรุกให้ย้ายออกไป

4. เงินมิวเซียม 243 ชั่งนั้น กรมทหารมหาดเล็กใช้ไปบ้างแล้ว เหลือไม่พอใช้ ตั้งฎีกาเบิกจากหอรัษฎากรพิพัฒน์แล้วยังไม่ได้ จึงขอรับพระราชทานยืมเงินพระคลังมหาสมบัติมาใช้ก่อน เมื่อเบิกได้แล้วจะหักคืนที่เหลือไว้เป็นทุนโรงพยาบาลต่อไป จำนวนเงินที่จะรับพระราชทานยืมนั้น คือค่าสิ่งของโรงพยาบาลที่จะทำขึ้น 8 หลัง เป็นเงิน 165 ชั่ง 64 บาท ค่าที่ดินท่าน้ำ เป็นเงิน 24 ชั่ง 26 บาท 55 สลึง ให้หม่อมเจ้าหม่อมราชวงศ์ย้ายออกไป เป็นเงิน 15 ชั่ง รวมทั้งหมดเป็นเงิน 208 ชั่ง 10 บาท

 

2430 - 15 ตั้งกรมศึกษาธิการ

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.. 2430 ประกาศตั้งกรมศึกษาธิการแยกออกจากกรมทหารมหาดเล็ก

...มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศจงทราบทั่วกันว่า การเล่าเรียนวิชาเปนการสำคัญของราชการบ้านเมือง แต่ก่อนมายังหาได้จัดตั้งขึ้นเปนแบบแผนให้แพร่หลาย แลยังหาได้มีเจ้าพนักงานสำหรับบังคับบัญชาราชการฝ่ายการเล่าเรียนทั้งปวงไม่...ผู้ซึ่งรับราชการในตำแหน่งการเล่า

 

 

520 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

เรียนทั้งปวงเหล่านั้นก็เปนข้าราชการ รับราชการแผ่นดินสนองพระเดชพระคุณได้ส่วนหนึ่ง เหมือนกับข้าราชการกรมอื่น ๆ แต่ยังหาได้มีตำแหน่งในราชการไม่ เพราะราชการฝ่ายการเล่าเรียนยังไม่ได้สังกัดขึ้นเปนกรมหนึ่งเหมือนกับประเทศอื่น ๆ บัดนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานซึ่งสำหรับจัดการเล่าเรียนทั้งปวงรวมเปนกรมหนึ่ง เรียกว่า กรมศึกษาธิการ...เปนกรมหนึ่งในราชการฝ่ายพลเรือนเหมือนกับกรมอื่น ๆ สืบไป

 

2430 - 16 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ สิ้นพระชนม์

วันที่ 31 พฤษภาคม พ.. 2430 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ สิ้นพระชนม์ พระชนมายุ 1 ปี 6 เดือน ปรากฏความในราชกิจจานุเบกษาว่า

 

ข่าวสิ้นพระชนมสมเดจพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์

สมเดจพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายศิริราชกกุธภัณฑ์ เสดจประสูตร ณ วันศุกร์ เดือนสิบสอง แรมหกค่ำ ปีรกา สัปตศก ศักราช 1247 ตรงกับวันที่ 27 โนเวมเบอปีคฤสตศักราช 1885 ได้เสดจประสูติในพระที่นั่งหมู่เดียวกับที่ประทับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเวลาค่ำวันนั้น มีมหัศจรรยบนอากาศคือเปนดวงดาวเล็ก ๆ ฤๅบางทีมีเปนสายต่อจากดวงเล็ก ร่วงลงมาโดยรอบทิศวนุทิศ ตั้งแต่เวลาค่ำแล้วไปจนดึกยังมิได้สูญ...ครั้นเมื่อแรม 8 ค่ำ 9 ค่ำ เดือนหก ปีกุนนพศก ทรงพระประชวน มีอาการทรงพระอาเจียนบ่อย ๆ แลพระกายซูบลงต่อลำดับมาก็มีบังคลเหลวไปเนือง ๆ ครั้นวันพฤหัสบดี เดือนเจด ขึ้นห้าค่ำ เวลาเช้า ไม่ทรงสบายเสาะแสะพระบังคลไปวันละหลายครั้ง หมอจ๋ายซึ่งเปนหมอประจำพระองค์ถวายพระโอสถ...วันอังคาร เดือนเจด ขึ้นสิบค่ำ พระอาการซุดมาก พระกำลังน้อยทรงอ่อนเปลี้ยไป ได้ประชุมหมอในโรงพระโอสถ แลหมอเชลยศักดิพร้อมกัน แล้วพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ หลวงกุมารแพทย หมอกรุงเชลยศักดิถวายพระโอสถ พระอาการไม่คลาย กลับกำเริบหนักไป จนเวลา 7 ทุ่ม 24 นาที สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายศิริราชกกุธภัณฑ์ สิ้นพระชนม์ เปนที่ทรงพระโทมนัสอาไลยของพระบาทสมเดจพระเจ้าอยู่หัว แลพระมารดาเปนอันมาก...

 

2430 - 17 รายงานกรมยุทธนาธิการ ฉบับที่ 1

วันที่ 9 มิถุนายน พ.. 2430 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมหมื่นภาณุพันธุวงษ์วรเดช ผู้แทนผู้บัญชาการทหารทั่วไป กรมยุทธนาธิการ กราบบังคมทูลถวายรายงานจัดราชการทหารในกรมยุทธนาธิการจำนวน 21 หน้า รายงานฉบับนี้มีความสำคัญ เป็นรายงานอธิบายที่มาต่าง ๆ ดังนี้

1. จุดเริ่มต้นการจัดการทหารแบบตะวันตกในระดับประเทศ

 

 

521 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2. เป็นจุดเริ่มต้นของการแยกทหารบกออกจากทหารเรือตามกองทัพแบบตะวันตก

3. ที่มาการจัดตั้งโรงเรียนทหารสราญรมย์พร้อมเหตุผลอธิบาย

4. ที่มากำเนิดสำนักงานตำรวจแห่งชาติในกรมทหารหน้า

5. ที่มาการจัดตั้งกรมอู่ทหารเรือ

6. แสดงการแก้ไขจัดระเบียบกรมทหารต่าง ๆ ให้เสมอกัน ก่อนการรวมเป็นระบบราชการแบบเดียวกันเพื่อจัดตั้งโครงสร้างกระทรวงแบบตะวันตก

ดังข้อสำคัญคัดไว้บางส่วน ดังนี้

 

ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานทำรายงานกรมยุทธนาธิการ เป็นฉบับที่ 1 นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ได้ทรงทราบใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท

ตั้งแต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้าบังคับบัญชาจัดการทหารบกทหารเรือ โดยกระแสร์พระราชดำริห์แลพระราชบัญญัติ...ข้าพระพุทธเจ้าได้รับใส่เกล้าฯ ปฤกษาพร้อมด้วยเจ้าพนักงานใหญ่สำหรับบัญชาการทั้ง 4 กระทรวง ในที่ประชุมศาลายุทธนาธิการ ได้ตรวจการทหารบกทหารเรือที่เป็นอยู่อย่างไร แลได้คิดอ่านแก้ไขจัดการทหารสนองพระเดชพระคุณ ในส่วนซึ่งจะให้เรียบร้อยเจริญขึ้นในภายน่า

อนึ่ง ราชการประจำของกรมทหารที่มีขึ้นในระหว่างนี้อย่างไร ก็ได้บังคับบัญชาไปโดยสมควรแก่ราชการทุกอย่าง

ข้อ 1 การเดิมที่เป็นอยู่ของกรมทหารบกทหารเรือทั้งปวง ตามซึ่งได้ตรวจทราบความแล้วนั้น

ส่วนของทหารบก ความเสียซึ่งเป็นส่วนสำคัญมีอยู่ 2 อย่าง คือ

(1) ที่ต้องใช้เงินแผ่นดินเปลืองมากเหลือเกิน เพราะ...[เนื้อความอธิบายสาเหตุ 5 ข้อ]...

(2) การในกรมทหารยังยุ่งเหยิงอยู่ทุกกรม

() เพราะน่าที่ราชการทหารยังก้าวก่ายกับพลเรือนบ้าง ก้าวก่ายในทหารด้วยกันเองบ้าง ไม่ได้ทำการเป็นน่าที่แต่ซึ่งสมควรจะรับผิดชอบ แลที่จะพึงรับการให้เรียบร้อยได้นั้น อย่าง 1

() เพราะการทหารไม่มีแบบแผนบังคับให้จัดการอย่างไร การจะดีจะเสียอาไศรยอยู่แต่กับผู้บังคับบัญชาจะเห็นอย่างไร อย่าง 1

ฝ่ายการทหารเรือนั้น ความเสื่อมเสียมีอยู่ยิ่งกว่าทหารบกเป็นอันมาก ที่เป็นส่วนสำคัญนั้นคือ

(1) ที่ต้องใช้เงินแผ่นดินเปลืองมากเหลือเกินนั้น อย่าง 1

(2) ที่เรือรบเรือใหญ่น้อยทั้งปวง (เว้นแต่อยู่ในพนักงานกรมแสงรักษา)

 

 

522 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ชำรุดเป็นอย่างยิ่งบ้าง ชำรุดพอแก้ไขได้บ้าง แต่อยู่ในจะใช้ราชการตามสมควรของเรือเหล่านั้นไม่ได้เลย...

...ข้าพระพุทธเจ้าได้ปฤกษาเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า ควรต้องคิดจัดการเป็นสองส่วน คือ จัดการพอเยียวยาแก้ไขกรมทหารบกทหารเรือที่มีอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ให้หมดความเสื่อมเสีย และเรียบร้อยแขงแรงขึ้นส่วน 1 จัดการใหม่ซึ่งสำหรับจะเป็นแบบแผนใช้ทั่วไปภายน่าส่วน 1

ในส่วนที่จะจัดการเยียวยาความเสื่อมเสียของทหารบกพอให้เรียบร้อยขึ้นเป็นตอนต้นในชั้นนี้ ได้ประมาณไว้ 6 อย่างก่อน คือ

อย่างที่ 1 น่าที่ของกรมทหารยังก้าวก่ายกันอยู่มาก แลบางกรมต้องรับราชการมาก บางกรมก็มีราชการน้อย ไม่เสมอกัน จะต้องกะน่าที่ราชการให้เปนส่วนเป็นแผนก ควรแก่น่าที่ของกรมใดก็ให้เปนน่าที่ของกรมนั้น มิให้น่าที่ก้าวก่ายกัน...

อย่างที่ 2 อัตราจำนวนออฟฟิศเซอร์ ซึ่งวางไว้เปนแบบแผนว่าราชการกรมหนึ่งควรมีออฟฟิศเซอร์ตำแหน่งใดบ้างนั้น แต่ก่อนมาจนบัดนี้ ก็เปนแก่อันเข้าใจว่าควรมีตำแหน่งนั้น ๆ ก็แต่จำนวนออฟฟิศเซอร์ที่มีอยู่จริง มากเกินอัตราแบบแผนที่ควรจะมี เป็นเหตุให้เปลืองเงินแผ่นดินมากอยู่ทุกหมวดทุกกรม เพราะเหตุไม่มีข้อบังคับตรวจตรา ผู้บังคับการกรมทหารเห็นสมควรจะมีออฟฟิศเซอร์ตำแหน่งใดขึ้น ฤๅเห็นผู้ใดสมควรจะเปนออฟฟิศเซอร์ ก็ตั้งออฟฟิศเซอร์ขึ้นใหม่บ้าง ตั้งตำแหน่งเพิ่มเติมขึ้นใหม่ในกรมนั้นบ้าง เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นด้วยทุกที ใช่แต่เท่านั้น การตั้งออฟฟิศเซอร์ซึ่งตกอยู่แก่ความชอบใจของผู้บังคับการแล้วแต่เห็นผู้ใดสมควรเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งแล้ว ก็ตั้งขึ้นเปนออฟฟิศเซอร์รับพระราชทานเงินเดือนได้นี้อีกอย่างหนึ่ง ก็เป็นเหตุให้ออฟฟิศเซอร์ทั้งมีมากเกินสมควร แลเป็นคนไม่มีคุณวุฒิสมควรแก่ตำแหน่งในราชการด้วย อีกอย่างหนึ่งในส่วนจำนวนทหารไปบวก ก็ไม่มีอัตรากำหนดจึ่งว่ากรมนั้น ๆ ต้องมีเท่านั้น ๆ กรมใดมีทหารไปบวกมากก็เรียกว่ากรม...[อักษรเลือน]...หนึ่ง บางกรมที่มีทหารไปบวกน้อยก็เรียกกรมหนึ่งเหมือนกัน แม้นับว่าเอาแต่โดยชื่อกรมก็ดูเหมือนตัวทหารจะมีรับราชการมาก แต่ที่จริงถ้าตรวจดูตัวทหารที่มีประจำอยู่ จะรวมจำนวนทหารนับเป็นกรมกำหนดด้วยตัวคนมากแลน้อยแล้ว ก็จะมีอยู่พอเพียงสัก 2 - 3 กรมเท่านั้น ใช่แต่เท่านั้น ตัวทหารที่มีอยู่ทั้งน้อยอยู่แล้ว ถ้าจะเลือกคัดจัดคนที่ฉกรรจ์ มีอายุแลกำลังกายสมควรแก่ราชการทหารได้ ในคนเหล่านั้นก็จะยิ่งได้ตัวทหารก็ลดน้อยลงไปอีกเปนอันมาก ซึ่งจะแก้ไขความเสื่อมเสียข้อนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ในชั้นต้น (โดยได้ทราบบาญชีออฟฟิศเซอร์ทหารทุกกรมแล้ว) จะวางอัตราตำแหน่งออฟฟิศเซอร์ซึ่งสมควรจะมีในกรมหนึ่ง ๆ ให้เปนแบบแผนใช้เหมือนกันตลอดทุกกรม ตัวออฟฟิศเซอร์ที่มีอยู่เหลือ

 

 

523 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

จากอัตราใหม่ที่จะละนี้ ก็จะเฉลี่ยวนไปรับราชการในทหารกรมอื่น ๆ ที่ยังขาดอัตราอยู่ ฤๅเอาไว้ตั้งตามกรมทหารที่จะเพิ่มขึ้นใหม่ ฤๅในระหว่างนั้นถ้าออฟฟิศเซอร์ซึ่งเหลืออัตรา จะต้องย้ายไปกรมอื่น จะไม่สมัคย้ายไปจะลาออกจากตำแหน่งก็ดี ฤๅจะขออยู่ในตำแหน่งยศแต่ไม่รับเงินเดือนก็ดี ก็จะอนุญาตให้ทั้ง 2 อย่าง ถ้ากรมไหนจำนวนคนยังมีน้อย ก็จะต้องหาเพิ่มเติมให้จนพอแก่อัตรา ถ้าได้คนใหม่มากเหลืออัตรา ก็จะคิดผ่อนคัดคนเก่าที่ชราฤๅกำลังกายไม่สมควรจะเป็นทหารออกเสีย

แลการตั้งออฟฟิศเซอร์ต่อไปภายน่า เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า จะต้องคิดตั้งโรงเรียนคะเด็ดขึ้นฝึกหัดวิชาสำหรับออฟฟิศเซอร์ ถ้าคะเด็ดคนใดมีความรู้สอบวิชาได้ตามที่จะกำหนด จึงจะเป็นออฟฟิศเซอร์รับราชการทหารได้ แลผู้ซึ่งจะรับราชการเปนออฟฟิศเซอร์ (ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนไปแล้ว) จะเปนได้เมื่อเปนผู้มีความรู้วิชาการทหารเปนคุณสมบัติเท่านั้นอย่างเดียว

ข้อ 3 วิธีฝึกทหารซึ่งยังต่างกันเป็นหลายลัทธิ เพราะไม่ได้มีแบบแผนเปนอันเดียวกันมาแต่เดิม นั้น แต่แรกข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้าฯ ว่า จะเปนการแปลกแปลงกันอยู่มากที่จะให้ลงเปนแบบแผนเดียวกันคงจะต้องช้านาน ครั้นเมื่อได้มาตรวจตราดูจึงเห็นว่าลัทธิที่ยังผิดกันอยู่นั้น ไม่ห่างไกลกันถึงที่คาดคะเนเลย นี่ก็เปนการที่จะถึงแก้ไขได้ง่าย ข้าพระพุทธเจ้าจะให้แก้ไขใช้เป็นแบบเดียวกันโดยเร็ว

ข้อ 4 การบังคับบัญชา และขนบธรรมเนียมสำหรับกรมทหาร ซึ่งยังไม่เรียบร้อยอยู่ทุกหมวดทุกกรมในบัดนี้ เปนเพราะไม่มีข้อบังคับบัญชาถือเรกุเลชัน (Regulation) เปนแบบแผนสำหรับกรม การ จะดี จะเสีย จะคง จะเปลี่ยนแปลงอย่างใด อาไศรยด้วยความชอบใจแลเห็นสมควรของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น...

ข้อ 5 การเลี้ยงทหารอย่างหนึ่งนี้ ก็เปนการหยุกหยิกไม่เรียบร้อยทุกกรมเสอมาจนบัดนี้...

ข้อ 6 ความที่เสียชื่อเสียงของทหาร เพราะเหตุที่มักเกิดวิวาทตีฟันและกับราษฎรเนือง ๆ มาแต่ก่อนนี้อีกอย่างหนึ่ง...

ในส่วนการทหารเรือในชั้นต้นนี้ ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้าฯ ว่าจะจัดแต่ 7 อย่างก่อน

ข้อ 1 ทหารเรือแลการที่จัดทหารดังที่เปนมาแล้ว เหมือนกับมีทหารเรือเปน 2 แพนกเสมอกัน คือ กรมแสงแพนก 1 กรมอรสุมพลแพนก 1 ราชการค์เปน 2 แยก 2 ย้ายจึงเปนเหตุให้เปลืองเงินแผ่นดินเกินสมควรมาก ถ้ายังจัดแยกให้เปน 2 แยกอยู่เช่นนี้ ต่อไปตราบใดก็จะไม่สมควรเปลืองพระราช-ทรัพย์เหลือเกินอยู่ตราบนั้น อนึ่ง การในส่วนกรมอรสุมพลที่เปนอยู่ในเวลานี้ทั้งเสื่อมทราม แลทั้งอยู่ในแบบแผนอันต้องเปลืองเงินแผ่นดินมาก ถึงจะ

 

 

524 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

จัดการทำนุบำรุงให้ดีขึ้น...ทหารบกก็จะจัดให้เป็นแบบแผนมีตัวทหารให้พอแก่ราชการแล้ว ควรต้องยกราชการทหารบกในน่าที่ทหารกรมแสงเสียไปเป็นทหารเรือทั้งกรม เฉลี่ยคนไปรักษาเรือ...ขึ้นกรมอรสุมพลอยู่แต่ก่อนให้พอ...คนลูกจ้างซึ่งกรมอรสุมพลใช้อยู่

ข้อ 2 ทหารมรีน ซึ่งมีอยู่เปนกรมหนึ่ง...แต่ก่อนมา เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าไม่มีประโยชน์อันใดมีแต่เปลืองเงินอยู่ข้างเดียว ทหารที่จะใช้เรือรบ ถ้าได้หัดกลาสีเปนทหารเรือดีกว่าที่จะมีมรีนต่างหากอย่างนี้มาก...การเรือรบในส่วนที่กรมแสงจัดการอยู่ จึงคิดด้วยเกล้าฯ ว่าควรเลิกทหารมรีนสมทบลงเป็นตัวกลาสีประจำเรือรบเหมือนกับทหารกรมแสงที่ยกไปนั้น

ข้อ 3 เรือใหญ่น้อยซึ่งอยู่ในกรมอรสุมพล มีจำนวน (ยกเว้นเรือราญรุกไพรีซึ่งผุอยู่ในอู่) อยู่ 7 ลำ ในแต่ส่วนค่ารักษาเรือ 7 ลำนี้ประมาณเดือนละ 56 ชั่ง คิดเฉลี่ยเสมอภาคลำหนึ่งต้องเสียเงินค่ารักษาอยู่ในเดือนละ 14 ชั่ง...[อธิบายรายชื่อเรือและสภาพเรือ]

ข้อ 4 เรือไฟใหญ่น้อยสำหรับราชการต่าง ๆ ที่ขึ้นอยู่ในกรมอรสุมพล มีจำนวนเรือ 13 ลำ เรือใหญ่ 6 ลำ ขนาดกลาง 2 ลำ ขนาดเล็ก 4 ลำ...[อธิบายสภาพเรือแต่ละขนาด]

ข้อ 5 เรือไฟน้อยใหญ่ซึ่งขึ้นอยู่ในกรมแสงมาแต่ก่อน มีจำนวนเรือไฟใหญ่ 5 ลำ เรือใบใหญ่ 4 ลำ เรือขนาดกลาง 11 ลำ เรือขนาดเล็ก 7 ลำ รวม 27 ลำ...[อธิบายสภาพเรือและค่าบำรุงรักษา]

ข้อ 6 เรือไฟขนาดกลางขนาดเล็กของหลวง ซึ่งเบิกอยู่ตามกรมทหารต่าง ๆ มีจำนวนกรมทหารมหาดเล็ก 3 ลำ ทหารน่า 3 ลำ กรมราชการฝีพาย 1 กรมทหารล้อมพระราชวัง 3 ลำ รวม 10 ลำ เรือเหล่านี้ก็สำหรับราชการทหาร มีการบันทุกทหารไปตามเสด็จเปนต้น ที่ต่างกรมต่างมีเรือไปสำหรับกรมเช่นนี้ ก็เพราะแต่ก่อนการทหารยังไม่รวบรวมกันได้ จึงเป็นเหตุให้เปลืองเงินแผ่นดินเพราะค่าสัวหุ้ยมีเรือไฟแยกย้ายกันเช่นนั้นเปนอันมาก เมื่อการทหารรวบรวมกันได้เช่นนี้ การทหารที่จะต้องใช้เรือไฟก็หมดความลำบากอย่างแต่ก่อน เมื่อมีราชการอย่างใดก็เปนน่าที่ผู้บัญชาการทหารเรือต้องจัดทัพเรือให้พอแก่ราชการทหารบก เพราะฉนั้นไม่ควรมีเรือไฟแยกย้ายกันตามกรมทหารดังเปนมานั้นอีกต่อไป

ข้อ 7 เมื่อได้ตรวจเรือใหญ่น้อยทั้งปวง ตกลงเปนความเห็นจะจัดการอย่างนั้นแล้ว ก็มีอยู่เปน 3 อย่าง คือ เรือที่ไม่เสียก็คงรักษาไว้ในราชการอย่าง 1 เรือที่ชำรุดขอการซ่อมแซมได้ก็จะซ่อมแซมไว้อย่าง 1 เรือที่ไม่ควรซ่อมแซมก็จะไม่ซ่อมแซมอย่าง 1...[อธิบายวิธีจัดการเรือ]...

ในส่วนราชการทหารบกทหารเรือ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้จัดการไปแล้ว ในระหว่างตั้งแต่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้าบังคับบัญชาการ

 

 

525 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ทหารมาจนบัดนี้ คือ

(1) ได้มีคำสั่งให้ผู้บังคับการทหารทุกกรม ยื่นบาญชีออฟฟิศเซอร์ แลเสมียนพนักงานในกรมนั้น ๆ บาญชี 1 บาญชีอัตราเบิกเงินเดือนในกรมนั้นบาญชี 1...[อักษรเลือน]...ตำแหน่งที่อยู่แลพื้นที่ขึ้นอยู่ในกรมทหารนั้น ๆ ฉบับ 1

(2) ได้สั่งให้ทหารน่าไปอยู่ยามรักษาวังสราญรมย์เปลี่ยนทหารกรมล้อมวัง แลให้ทหารรักษาพระองค์ไปรักษาพระราชวังบวรเปลี่ยนทหารล้อมวัง ให้ทหารล้อมวังรับน่าที่อยู่ยามในพระบรมมหาราชวังชั้นนอกแทนทหารรักษาพระองค์ทุกแห่ง ถอนทหารรักษาพระองค์ออกไว้สำหรับให้กระบวนเสด็จแลกระบวนพระประเทียบ แลให้รักษาพระราชวังบวรด้วย ให้ทหารปืนใหญ่รับรักษาปืนกรุบแทนกรมทหารมหาดเล็ก ให้กรมทหารมหาดเล็กรับรักษายามในพระบรมมหาราชวังชั้นกลางแทนทหารรักษาพระองค์ทุกแห่ง เลิกน่าที่ทหารน่าที่จะต้องแห่กระบวนเสด็จ ให้ทหารรักษาพระองค์แทน ส่วนทหารน่าให้มีน่าที่โปลิส (Police) ซึ่งเคยรักษาท้องที่อยู่นั้น จัดการให้แขงแรงขึ้น แลให้มีน่าที่สำหรับจ่ายไปราชการหัวเมืองด้วย กำหนดราชการทหารให้เปนน่าที่แทนสลับกันได้จัดไปแล้วเพียงเท่านี้ แล จะจัดต่อไปให้มีราชการเสมอทั่วถึงแลไม่ก้าวก่ายกัน

(3) ได้สั่งให้ทหารน่า ทหารล้อมวัง ทหารรักษาพระองค์ ช่วยกันรื้อไม้เมรุ ขนขึ้นไปส่งที่จะทำโรงทหารที่พระราชวังบวร ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาติแก่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุน-นริศรานุวัตติวงศ์ แต่เมื่อยังบังคับบัญชากรมทหารรักษาพระองค์อยู่นั้น แลให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวัตนานุวงษ์เป็นแม่กองคุมทหารรักษาพระองค์ทำโรงทหาร

(4) ได้มีคำสั่งให้ผู้บังคับการกรมทหารทุกกรม ส่งตระลาการมาชำระเร่งหมู่ทหารพร้อมกัน ณ ศาลายุทธนาธิการ แลทหารซึ่งจะลาอุปสมบทแต่ปีนี้ต่อไปด้วย ให้มารับใบอนุญาต ณ ศาลายุทธนาธิการ อนึ่ง การเบิกเงินเดือนแลเบิกเงินราชการของกรมต่าง ๆ...[อธิบายกระบวนการเบิกเงิน]

(5) โรงม้ากรมทหารมหาดเล็กชำรุดมาก ...

(6) ตามโรงจีนรับจำนำ มีของทหารแลเครื่องแต่งตัวทหารอยู่เปนอันมาก

(7) ...[เรื่องทหารรักษาพระองค์]...

(8) แต่ก่อนมาที่เชิงตะพานช้างโรงสี ถนนบำรุงเมือง มักเปนที่เกิดฉกชิงวิ่งแลวิวาทแทงกันเนือง ๆ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่าท้องที่ตำบลนั้น เปนที่ใกล้พระราชฐาน เป็นที่ในน่าที่ของกรมทหารน่ารักษา เปนช่องให้เกิดการเสื่อมเสียพระเกียรติยศ แลเสียชื่อเสียงทหารอยู่ จึงได้มีคำสั่งให้ผู้บังคับการกรมทหารน่าจัดคอมมิศชันออฟฟิศเซอร์นาย 1 นอนคอมมิศชันออฟฟิศเซอร์ 2 นาย เปนเวรกันตรวจตราในเวลาผู้คน

 

 

526 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ชุกชุม แลกำกับทหารรักษาท้องที่ ให้คอยจับโจรผู้ร้ายโดยแขงแรง แลให้บัญญัติแก่กรมทหารน่า แต่เวลาย่ำค่ำไปแล้วให้เรียกทหารกลับเข้าโรงทหารอย่าให้เที่ยวเสพสุกประพฤติเปนโจรผู้ร้ายได้เปนอันขาด ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่าจัดการอย่างนี้ การฉกชิงวิ่งราวแลวิวาทในท้องที่นั้น คงจะสงบ...ฤๅเบาบางลงได้ ถ้าเปนการได้สำเหร็จได้ดังคิด ก็จะจัดการรักษาท้องที่ที่อื่น ๆ ดังนี้ต่อไป ในส่วนการทหารเรือ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้มีคำสั่งจัดการไปแล้วนั้น

(1) ได้เรียกบาญชี เช่นกับทหารบกทุกอย่าง

(2) ได้สั่งให้ถอนน่าที่ทหารกรมแสงให้พ้นจากการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในทหารบก...

(3) ให้รวมทหารกรมแสงกับกรมอรสุมพลเข้าเป็นกรมทหารเรือเดียวกัน การเบิกเงินให้กรมแสงเปนผู้ทำบาญชีมายื่นกรมยุทธนาธิการแห่งเดียว เลิกธรรมเนียมเบิกเบี้ยเลี้ยงแลธรรมเนียมจัดชื้อสิ่งของต่าง ๆ...ให้เบิกให้ซื้อเปนอย่างเดียวแห่งเดียวกัน แลการซ่อมแซมเรือและช่างทำเรือก็ให้ทำแห่งเดียวกัน ให้คงคนที่จะรับเงินเดือนไว้แต่พอแก่ราชการ

(4) ได้มีคำสั่งให้เลิกทหารมรีน ส่งตัวทหารมาเปนกลาสี เหมือนกับทหารกรมแสง ที่จะได้รักษาซ่อมแซมเรือทั้งปวง

(5) เรือรบซึ่งท้องเรือชำรุดบ้างเล็กน้อย คือ เรือสุริยมณฑลลำ 1 เรือหารหักสัตรูลำ 1 เรือยงยศอโยชฌิยาลำ 1...

(6) ได้มีคำสั่งขอแรงกรมทหารช้างให้ไปรื้อเรือราญรุกไพรีซึ่งผุจมอยู่ในอู่ที่จะได้คิดอู่หลวงขึ้นสำหรับซ่อมแซมเรือต่อไป การรื้อเกือบจะสำเร็จแล้ว

(7) ราชการต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้เรือไปหมีมาประการใด เปนต้นคือการไปส่งสายโทรเลข แลไปรับพวกทำแผนที่ที่บางตะพานแลอื่น ๆ ข้าพระพุทธเจ้าได้บังคับจัดการไปตามสมควรให้ได้ราชการทุกอย่าง ราชการทหารบกทหารเรือที่ข้าพระพุทธเจ้าได้บังคับจัดการไปแล้วเช่นนี้

อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้ามีความยินดีเปนอันมาก ด้วยได้เห็นผู้ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ รับราชการในกรมยุทธนาธิการทำราชการตามน่าที่ของตน โดยความเต็มใจเต็มกำลัง มิได้เบื่อหน่ายย่อท้อพ้อล้วนทุกคน แลผู้บังคับการกรมทหาร ต่างก็เอาใจใส่ในน่าที่ราชการและสั่งบังคับบัญชาโดยเรียบร้อยด้วยกันทุกกรม ถ้าการต่อไปสดวกได้เช่นเปนมาในระหว่างนี้แล้ว ราชการทหารบกทหารเรือคงจะสำเร็จเรียบร้อยได้ดั่งพระราชประสงค์เปนมั่นคง

 

ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้า ภาณุรังสี

 

 

527 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2430 - 18 ประชุมกอมมิตตีโรงพยาบาล ครั้งที่ 6

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.. 2430 ประชุมคณะกรรมการกอมมิตตีโรงพยาบาล ครั้งที่ 6

...เวลาบ่าย 4 โมง 26 นาที เปิดประชุม

1. อ่านพระราชหัตถเลขาถึงกอมมิตตีโรงพยาบาล เรื่อง หมอเฮ อเมริกัน จะขอตั้งโรงคนไข้ แลเตมใจรับราชการในโรงพยาบาลไม่เอาเงินเดือน โปรดให้กอมมิตตีตอบหมอเฮ แลอ่านหนังสือเจ้าพนักงานไปรเวตสิเกรตารีตอบหนังสือที่ถวายขอพระบรมราชานุญาตยืมเงินพระคลัง 208 ชั่ง 10 บาท แลขอยกเงินมิวเซียมมาเปนเงินโรงพยาบาลนั้น โปรดพระราชทานพระบรม-ราชานุญาตแลมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งเจ้าพนักงานทั้งปวงแล้ว

2. เห็นควรจะให้กรมหมื่นดำรงราชานุภาพเปนผู้ยืมแลเปนผู้ที่จะหักใช้คืนพระคลังซึ่งจะเปนการเรียบร้อยดี ส่วนเงินโรงพยาบาลเดือนละ 10 ชั่ง ให้กรมหมื่นศิริธัชสังกาศเป็นผู้เบิก

3. เรื่องหมอเฮ คนอเมริกันนั้น หมอกาวันได้แจ้งความว่า...เตมใจที่จะรับราชการในโรงพยาบาลหลวงไม่คิดที่จะเอาเงินเดือน แต่ขอจะมีอำนาจที่จะสอนสาสนาคฤสเซียนแก่คนไข้โรงพยาบาลได้...แต่กรมหมื่นดำรงราชานุภาพเหนว่าเปนการสำคัญมากด้วยโรงพยาบาลพึ่งจะตั้งขึ้น คนยังไม่มีน้ำใจเชื่อถือ เมื่อมีการปรากฏว่าเปนที่สอนสาสนาฝรั่งอย่างนี้ น่าที่จะทำให้คนเปนอันมากที่มีใจเป็นโบราณฤๅที่ไม่ชอบสาสนาฝรั่งก็จะรังเกียจ...ตกลงกันให้หมอกาวันตอบหมอเฮไปว่า...คอมมิตตียังกำลังจัดการอยู่โดยแขงแรง ไม่สามารถจะรับธุระของหมอเฮได้...

4. กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ แลพระองค์เจ้าสายสนิทวงษ์ปฤกษาเรื่องเอสติเมตเครื่องใช้สอยในโรงพยาบาล มีเตียงแลผ้าที่จะใช้แลเครื่องต่าง ๆ เปนการไม่ตกลงกัน กรมหมื่นดำรงราชานุภาพรับไปคิดการในเรื่องนี้ หลวงนายสิทธิรับที่จะให้โครงเหล็กสำหรับทำเตียงคนไข้...

 

2430 - 19 การพระเมรุสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์

เดือนมิถุนายน พ.. 2430 มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ว่าด้วยการพระเมรุสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ ความตอนหนึ่งว่า

 

ข่าวพระเมรุท้องสนามหลวง

...การพระเมรุครั้งนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้า-น้องยาเธอ เจ้าฟ้าภานุรังสีสว่างวงษ กรมพระภาณุพันธุวงษวรเดชเปนแม่กอง พระยาราชสงคราม (ทัด) เปนนายช่าง กรมพระตำรวจแลกรมอื่น ๆ เปนนายงานทำพระเมรุ 9 ยอด องค์กลางสูงแต่พื้นดินขาดยอด 18 วา...ในราชวัตร

 

 

528 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ทึบเข้ามาแต่ก่อนซึ่งเคยมีส้างล้อมรอบพระเมรุนั้น โปรดให้พระบรมวงษานุวงษทำเรือนรูปต่าง ๆ กันมา ตั้งแทนสร้างสำหรับพระสงฆ์ที่ได้มาในการนิมนต แลเจ้ามาที่จะได้พักเหมือนสร้าง [ส้าง] รอบพระเมรุ แลเรือนทั้งปวงในการพระเมรุครั้งนี้ เมื่อเสรจการแล้วจะโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่โรงพยาบาล ซึ่งจะได้เปิดรักษาคนไข้เปนสาธารณทานทั่วไปในเร็ว ๆ นี้ด้วย...

 

2430 - 20 ประชุมกอมมิตตีโรงพยาบาล ครั้งที่ 7

วันที่ 4 มิถุนายน พ.. 2430 คณะกรรมการกอมมิตตีโรงพยาบาลประชุมปรึกษาการโรงพยาบาล ครั้งที่ 7 เมื่อวันเสาร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 7 ศักราช 1249 ดังนี้ (ดูสำเนาเอกสารต้นฉบับในภาค 3)

 

...1. กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ได้เชิญกระแสพระบรมราชโองการมาแจ้งความกับกอมมิตตีว่า ในการพระเมรุสมเดจพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ครั้งนี้ บันดาเรือนแลโต๊ะตู้ต่าง ๆ ซึ่งเคยทรงบริจาคเปนสังเฆก ถวายพระสงฆในการเช่นนี้นั้น จะโปรดเกล้าฯ ยกมาพระราชทานแก่โรงพยาบาล ซึ่งจะเปนสาตรณ์ประโยชน์แก่เอนกชนทั่วไป ไม่พระราชทานแก่พระสงฆเหมือนกาลก่อน ๆ ด้วยเคยทรงบริจาคพระราชทานพระสงฆมาเปนเอนกประการแล้ว ให้กอมมิตตีที่ปฤกษาพร้อมกันว่าจะต้องการสิ่งใดเท่าใด จะได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดการทำให้ครบตามประสงค์ กอมมิตตีได้ปฤกษาพร้อมกันแล้วได้กำหนดไว้ว่าควรจะมีเตียงนอนที่เปนอย่างกลาง 4 อัน โต๊ะเรียนหนังสือ 4 อัน โต๊ะเหลี่ยม 4 อัน เก้าอี้ยาวพื้นไม้ไม่มีกำหนดแล้วแต่จะมีได้เท่าใด เก้าอี้สั้นรูปต่าง ๆ พื้นไม้ไม่มีกำหนด ตู้ใหญ่อย่างตู้ห้างสำหรับใส่เครื่องยาไม่มีกำหนด ตู้ลิ้นใส่เสื้อผ้าไม่มีกำหนด ชั้นสำหรับตั้งผ้าไม่มีกำหนด โต๊ะเล็กตั้งหัวนอนอย่างต่ำ ๆ ข้างล่างเปนตู้ไม่มีกำหนด ที่สำหรับบดยา 2 อัน โคมแขวนแลติดฝาต่าง ๆ ไม่มีกำหนด เรือ 6 แจว 2 ลำ 4 แจว 2 ลำ 2 แจว 2 ลำ รวมสิ่งของเหล่านี้เปนแต่ประมาณไว้ครั้งหนึ่งก่อน ให้กรมหมื่นดำรงราชานุภาพนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาแล้วแต่จะทรงโปรดเกล้าฯ ประการใด

2. กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ แจ้งความว่าหม่อมราชวงษสนิทได้รับเงินล่วงน่าไปแล้ว 40 ชั่ง แลมาแจ้งความว่า เรือนที่คลองผดุงซึ่งเดิมรับไปซ่อมแซม 3 ชั่ง หมายว่ามีพื้นแลมีฝา บัดนี้ไปตรวจดูพื้นก็ขาดฝาก็ไม่มี ถ้ากอมมิตตีโปรดยอมอนุญาตให้อีก 4 ชั่ง เปน 7 ชั่ง แล้วเปนรับทำได้ กอมมิตตีเหนพร้อมกันว่าเปนการสมควรอยู่แล้ว เปนอันยอมอนุญาต...

3. หลวงนายสิทธิ์แจ้งความว่า กรมหมื่นนเรศรวรฤทธิ์ให้แจ้งความแก่กอมมิตตีว่า หม่อมราชวงษสนิทไปขอให้ไล่ที่ซึ่งจะทำโรงพยาบาล

 

 

529 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

529_1

งานพระเมรุสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์

ที่มา : งานจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

529_2

ท่าน้ำโรงศิริราชพยาบาล

 

 

530 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ท่านไม่ทรงทราบว่าเหตุไรเปนประการใด จึ่งตกลงกันให้แชแมนมีจดหมายเล่าความที่จะซื้อที่แลขออำเภอไปด้วยจะได้เปนพยานแลเปนผู้ไล่...

 

2430 - 21 ขอซื้อที่ทำเป็นท่าน้ำโรงพยาบาล ณ วังหลัง

วันที่ 28 กรกฎาคม พ.. 2430 กอมมิตตีโรงพยาบาลกราบบังคมทูลเรื่องการเจรจาจัดซื้อที่ดินบ้าน 3 ราย คือ ที่ดินบ้านของ ม...พัน (บิดา) หม่อมป้อม หม่อมบัว (บุตร) รายหนึ่ง ที่ดินบ้านของบุตรของอำแดงนาก รายหนึ่ง และที่ดินบ้านของ ม...อ่วม รายหนึ่ง

วันที่ 7 สิงหาคม พ.. 2430 กอมมิตตีโรงพยาบาลดำเนินการจัดซื้อที่ดินอำแดงนากและเวนคืนที่ดินของกรมพระราชวังหลังจาก ม...พันและ ม...อ่วม เพื่อทำเป็นท่าน้ำของโรงพยาบาล ณ วังหลัง

 

2430 - 22 หนังสือกราบบังคมทูลเรื่องการแก้ไขธรรมเนียมราชการ

วันที่ 14 มิถุนายน - 16 กันยายน พ.. 2430 พระเจ้าน้องเธอ กรมหลวงเทวะวงษ-วโรประการเสด็จยังประเทศอังกฤษ เพื่อร่วมงานฉลองสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย และทอดพระเนตรวิธีการจัดตั้งคณะรัฐบาลและการจัดตั้งกระทรวงแบบอังกฤษ

 

วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.. 2430 หลังจากกลับจากยุโรป มีหนังสือกราบบังคมทูลเรื่องการแก้ไขธรรมเนียมราชการดังความสำคัญบางตอนว่า

 

ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสอันนี้ กราบบังคมทูลพระกรุณาข้อราชการที่จะจัดการแก้ไขธรรมเนียมราชการอันหนึ่ง ซึ่งเปนการสำคัญที่ได้ทรงพระราชดำริห์ให้มาแต่ก่อนแล้ว ยังหาเปนการสำเรจไม่ เพราะมีเหตุขัดขวางอยู่ตามกาลเวลาที่ล่วงมาแล้ว

บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าเหนด้วยเกล้าฯ ว่า เหตุขัดขวางทั้งปวงนั้น เบาบางลงไปเกือบจะไม่มีแล้วก็ว่าได้ แลข้าพระพุทธเจ้ากราบบังคมลาไปราชการเสียช้านาน ครั้นกลับมาถึงก็ได้ทราบเกล้าฯ เหตุการณ์หลายอย่างซึ่งเหนเปนการจำเปนจะต้องจัดการเรื่องนี้ขึ้น

เหตุนั้น คือ เปนต้นข้อสำคัญอธิบดีกรมต่าง ๆ แก่งแย่งในราชการ ไม่เป็นใจปรองดองพร้อมกันในราชการ ราชการที่ควรจะสำเรจแล้วไป ก็เปนการขัดข้องทำให้เปนที่ขุ่นเคืองใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทบ่อย ๆ...การที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้กอมมิตตีไปชำระสะสางความรกร้างในกรมนครบาลนั้น ก็เบาบางเรียบร้อยลงมากแล้ว...อีกประการหนึ่งกรมยุทธนาธิการก็เหนเปนการตกลงที่ว่า ราชการที่ได้จัดทำขึ้นนั้น ยังมีเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกรมอื่น ๆ รวมใจความทั้งสองแห่งว่า ถ้าไม่มี Cabinet Council แล้วคงจะทำราชการให้ดีขึ้นไม่ได้...

 

 

531 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

531_กรุงเทพฯ ในอดีต

กรุงเทพฯ ในอดีต

 

 

หมายเหตุ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชปรารภว่า คณะเสนาบดีเจ้ากระทรวงแบบเก่านั้นพ้นสมัย ไม่เหมาะกับการงานในขณะนั้น จึงมอบหมายให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศวโรประการ เสนาบดีศาลาว่าการต่างประเทศ (ในขณะนั้นยังไม่ตั้งกระทรวงการต่างประเทศ) ซึ่งจะเสด็จไปร่วมงานฉลองสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียครบ 50 พรรษา ให้ไปพิจารณาแบบคณะเสนาบดีในยุโรปว่าทำกันอย่างไร กรมหลวงเทวะวงศวโรประการจึงทรงกราบบังคมทูลรายงานวิธีการกำหนดตำแหน่งเสนาบดี มีการพิจารณาที่จะตั้งกรมใหญ่ ขึ้นอีก 6 กรม มีเสนาบดีที่มีศักดิ์เสมอกัน แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า ถ้าจะตั้งกรมใหญ่เพิ่มอีก 6 กรมในทันที การจะไม่เรียบร้อย ด้วยผู้ดำรงตำแหน่งยังไม่คุ้นเคยกับงาน จึงให้ทดลองธรรมเนียมราชการอย่างใหม่ คือ ทำแบบ Cabinet Council ในปี พ.. 2431 ทรงเป็นประธานในที่ประชุม นำการปรึกษาราชการและบัญชาการแก่เสนาบดีกรมใหญ่ต่าง ๆ ทั้งกรมแบบเก่า (กรมจตุสดมภ์ 4 กรมมหาดไทย 1 กรมกลาโหม 1) และกรมแบบใหม่ (เช่น กรมยุทธนาธิการ กรมศึกษาธิการ เป็นต้น) ทรงนำในการปรึกษาข้อราชการและบัญชางานแก่เสนาบดีต่าง ๆ ทั้งนี้ รูปแบบการประชุมทรงว่าราชการพัฒนามาจากการทรงงานกับสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินที่ทรงทดลองจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.. 2417 ปัจจุบันคือคณะรัฐมนตรี - Cabinet Council

 

 

2430 - 23 ตั้งกอมมิตตีตกแต่งพระนคร รักษาความสะอาดของกรุงเทพฯ

วันที่ 4 สิงหาคม พ.. 2430 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งกอมมิตตีตกแต่งพระนครเพื่อจัดการแก้ไขความเสื่อมโทรมของกรุงเทพฯ ความสะอาดพระอารามหลวงและสถานที่ต่าง ๆ ถนน สะพาน คลอง แม่น้ำ หมู่บ้าน ตึกแถว สวนและโรงร้าน ตลาด กำแพงและประตูพระนคร ท่าน้ำ

 

 

 

532 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2430 - 24 โอนย้ายหมอวังหน้ามารับตำแหน่งแพทย์ทหารบก

วันที่ 5 สิงหาคม พ.. 2430 พระราชทานสัญญาบัตรทหาร 15 นาย โดยมีหมอในสังกัดกรมทหารบก 1 นาย คือ หลวงวิเสศโอสถ กรมหมอฝ่ายพระราชวังบวร เป็นเซอเยิน (surgeon) กอมปนีออฟฟิซเซอ กรมทหารบก 1

 

2430 - 25 ส่งราชทูตดูงานการทหาร การจัดการศึกษาและโรงเรียนแพทย์

ณ ประเทศญี่ปุ่น

วันที่ 14 สิงหาคม พ.. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระยาภาสกรวงศ์เป็นราชทูต อัญเชิญพระราชสาส์นเจริญพระราชไมตรี และพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศมหาวราภรณ์แห่งเครื่องราชอิสริยยศอย่างสูงสุดช้างเผือกสยาม ไปยังพระเจ้ามุตสุหิโต เมกาโดราชาธิราช ณ ประเทศญี่ปุ่น

วันที่ 20 ธันวาคม พ.. 2430 กรมหมื่นดำรงราชานุภาพมีคำสั่งแจ้งความมายัง ขุนวรการโกศลที่จะไปตรวจการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น ว่า

...ด้วยในคราวซึ่งราชทูตจะออกไปเจริญทางพระราชไมตรี ณ ประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรการโกศลเป็นพนักงานออกไปตรวจการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น...

(5) โรงเรียนสอนการต่าง ๆ โรงเรียนชั้นนี้คือ โรงเรียนสอนวิชาหมอ 1 วิชากฎหมาย 1 การไร่นา 1 การค้าขาย 1 ต้องตรวจดูให้รู้ว่า

() จัดการอย่างไร

() นักเรียนคนชนิดไร

() เรียนรู้แล้วไปไหน

() โรงเรียนเหล่านี้มีประโยชน์แก่เคาเวอแมนอย่างไรบ้าง

() ธรรมเนียมจัดการในโรงเรียนอย่างไร

 

 

หมายเหตุ

การศึกษาดูงานในประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ นำมาประยุกต์ใช้กับระบบจัดการทหารในกรมยุทธนาธิการและระบบจัดการศึกษาในกรมศึกษาธิการในช่วงระหว่าง พ.. 2430 - 2435 และหลังจากที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เสด็จพระดำเนินประพาสยุโรป พ.. 2434 - 2435 และได้รับที่ปรึกษาราชการแผ่นดินทั่วไปชาวเบลเยียมคือมิสเตอร์โรลังยัคมินส์ (เจ้าพระยาอภัยราชา) แล้ว สันนิษฐานว่าการจัดการระบบราชการต่าง ๆ ได้ปรับเป็นแบบยุโรปและระบบจัดการทหารปรับไปใช้แบบเยอรมนี

 

 

533 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2430 - 26 เริ่มจัดการปกครองแบบเค้าสนามหลวงที่เมืองนครเชียงใหม่

วันที่ 22 สิงหาคม พ.. 2430 นายแย้ม มหาดเล็ก ผู้ช่วยราชการตำแหน่งเมืองนครเชียงใหม่ มีหนังสือ ที่ 1107 กราบบังคมทูลเรื่องข้อพระราชบัญญัติจัดการปกครองที่เมืองนครเชียงใหม่ ซึ่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงจัดไว้บ้างแล้ว 4 กรม คือ มหาดไทย ทหาร ยุติธรรม คลัง ยังขาด 2 กรม คือ กรมวังและกรมนา

 

2430 - 27 ประชุมกอมมิตตีโรงพยาบาล ครั้งที่ 11 22 พฤศจิกายน พ.. 2430

วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.. 2430 ประชุมกอมมิตตีโรงพยาบาล ครั้งที่ 11 สรุปข้อตกลงกัน 5 เรื่อง (ดูสำเนาเอกสารต้นฉบับในภาค 3)

1. เรื่องการจัดซื้อที่ดินซึ่งเป็นท่าน้ำโรงพยาบาล

2. ค่าย้ายเรือนของหม่อมหลวงเชยในวังหลัง

3. ค่าย้ายเรือนของหม่อมราชวงศ์จินดา หม่อมราชวงศ์คล้อย

4. เครื่องในตึกศิริราชได้กะตกลงหมดทุกห้อง มอบให้หลวงนายสิทธิไปเลือกตัวอย่างตามสมุดภาพของเหล่านั้น จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย

5. ตึกพระอรรคชายาและตึกวิกตอเรีย ซึ่งได้ตกลงให้มิสเตอร์แกรซีทำนั้น ให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงษ์ ผู้แทนที่สะเกตรี มีจดหมายสั่งมิสเตอร์แกรซีให้ไปลงมือทำ

 

2430 - 28 หม่อมเจ้าในพระราชวังหลังถวายฎีการ้องทุกข์

วันที่ 3 ธันวาคม พ.. 2430 หม่อมเจ้าชายหนูน้อยในกรมพระราชวังหลัง อายุ 90 ปี และหม่อมเจ้าหญิงเสงี่ยม อายุ 75 ปี หม่อมเจ้าหญิงสอาด หม่อมเจ้าชายปฤดา หม่อมเจ้าชายถาวร ในกรมหลวงเสนีบริรักษ์ ตั้งบ้านเรือนในวังกรมพระราชวังหลัง ทำเรื่องราวร้องทุกข์ว่า เดิมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้พนักงานมาเชิญ พระอัฎฐิกรมพระราชวังหลังไปไว้ในพระบรมมหาราชวัง แต่ พระอัฎฐิบางส่วนที่เหลือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าหญิงเสงี่ยมเป็นผู้รักษา ต่อมา ณ วัน 3 ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 1 ปีกุน นพศก (วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.. 2430) กรมหมื่นดำรงราชานุภาพรับสั่งให้ขุนขจรภักดีอำเภอมาไล่ที่วังหม่อมเจ้าชายหนูน้อย กรมหมื่นนราเทเวศร์ กรมหมื่นนเรศร์โยธี กรมหลวงเสนีบริรักษ์ จึงได้รับความเดือดร้อน เพราะไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะย้ายเรือนได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.. 2430 ความว่า

 

...โรงหมอเปนที่จะจัดให้เปนประโยชน์แก่คนทั้งปวงทั่วไป กอมมิตตีโรงพยาบาลได้จัดการยอมให้ผู้ที่เป็นเชื้อวงษ์กรมพระราชวังหลัง ไปปลูกเรือนอยู่ในบริเวณฉางเกลือเก่า ไม่ต้องซื้อหา เย่าเรือนอันใดก็ยอมให้รื้อไปแลจ่ายเงินให้รายละชั่งสิบตำลึงทั่วกันแล้ว เห็นว่าไม่ควรจะขัดขวางให้การที่เปนประโยชน์เสียไป...

 

 

534 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

วันที่ 11 ธันวาคม พ.. 2430 กอมมิตตีจัดการตั้งโรงพยาบาล กราบบังคมทูลเรื่อง การย้ายหม่อมเจ้าชายหนูน้อยในกรมพระราชวังหลัง และหม่อมเจ้าในกรมหลวงเสนีบริรักษ์อีก 4 องค์ ได้จัดการให้ย้ายไปอยู่ที่ฉางเกลือ ตำหนักและเรือนเก่ายกให้เป็นสิทธิ์ย้ายไปปลูกในที่ใหม่ได้ จ่ายค่าย้ายเรือนให้รายละ 30 ตำลึง

 

 

.. 2431

 

2431 - 1 พระยาภาสกรวงศ์กราบทูล เรื่องเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินญี่ปุ่น

วันที่ 22 มกราคม พ.. 2431 พระยาภาสกรวงศ์กราบทูลเสนาบดีว่าการต่างประเทศ 1. เรื่องเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้ามิกโทราชาธิราชแห่งประเทศญี่ปุ่น และการได้รับความรับรองอย่างนับถือทางพระราชไมตรีอันสนิท 2. เรื่องเครื่องราชอิสริยยศต่าง ๆ 3. เรื่องพระราชสาส์น 4. เรื่องสำเนาพระราชดำรัสตอบพร้อมคำแปล ฯลฯ

 

2431 - 2 รายงานการดูงานโรงเรียน รวมโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาล

ณ ประเทศญี่ปุ่น

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.. 2431 ขุนวรการโกศลถวายรายงานกราบทูล พระเจ้า-น้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ผู้บัญชาการเรื่องการโรงเรียนต่าง ๆ ทุกประเภท รวมทั้งรายละเอียดของ โรงเรียนหมอ โรงหมอและฮอสปิเทลสำหรับรักษาคนไข้เป็นโรงใหญ่ โรงหมอที่ 2 เป็นโรงเล็ก

 

2431 - 3 ประชุมกอมมิตตีโรงพยาบาล ครั้งที่ 12 ตั้งโรงเทพศิรินทรพยาบาล

โรงพยาบาลช่วงแห่งแรกและทำแพพยาบาล

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.. 2431 ประชุมกอมมิตตีโรงพยาบาล ครั้งที่ 12 มีการจัดตั้งโรงพยาบาลเทพศิรินทร์เป็นโรงช่วง (หมายถึงโรงพยาบาลขนาดเล็กที่ให้การรักษาแบบจำเป็นพื้นฐานในพื้นที่ชุมชน) (ดูสำเนาเอกสารต้นฉบับในภาค 3)

 

การซึ่งได้ปฤกษาในเวลาวันนี้ คือ

1. เรื่องเรือนในบริเวณพระเมรุ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำขึ้นสำหรับพระราชทานในโรงพยาบาล...ส่วนโรงเรือนที่จะรับพระราชทานไปใช้การโรงพยาบาล 10 หลัง...เรือนใหญ่ของกรมสมเดจพระสุดารัตนราช-ประยูรนั้น กว้างขวางพอเปนโรงพยาบาลอีกแห่ง 1 เปน โรงช่วง ได้ พระวรวงษ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงษ์ได้แจ้งความว่า จะขอพระราชทานไปหลัง 1 กับจะขอเรือนเล็กที่กำหนดแล้วนี้หลัง 1 รวม 2 หลัง ไปปลูกในที่ใกล้วัดเทพศิรินทร ริมคลองผดุงกรุงเกษม จะปลูกโรงเพิ่มเติมอีกเปน

 

 

535 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ส่วนของท่านเอง แล้วจะตั้งเปนโรงพยาบาลขึ้นตำบล 1 ส่วนค่าใช้สอยแลหมอคนพยาบาลก็เปนส่วนท่านจะออกเงินทำไป ถ้าไม่มีกำลังพอแล้ว ซึ่งจะให้เปนส่วนโรงพยาบาลใหญ่เปนธุระต่อไป...

2. เงินที่พระเจ้าลูกเธอ 4 พระองค์ ทรงกำหนดว่าจะทำแพพยาบาลทูลเกล้าฯ ถวายในการพระเมรุ...รวม 20 ชั่งนั้น จะได้ให้หม่อมราชวงษสนิททำแพสำหรับใช้เปนโรงพยาบาลที่จะได้ไปใช้ที่หัวเมืองมีลำน้ำ คือ กรุงเก่า เปนต้น คงจะได้เปิดไปใช้การในเดือน 8 ปีชวด สัมฤทธิศกนี้ เปนแน่

3. เฟอนิเชอต่าง ๆ ซึ่งสร้างขึ้นเปนของสังเคดตั้งในการพระเมรุครั้งนี้ เปนของมากเหลือที่จะใช้ในโรงพยาบาล ซึ่งจะเปิดในเร็ว ๆ นี้เปนอันมาก จะต้องเก็บไว้สำหรับตึกศิริราชซึ่งกำลังลงมือทำอยู่ ของนั้นได้มอบให้กรมหมื่นดำรงราชานุภาพรักษาฝากไว้ที่ศาลายุทธนาธิการกว่าตึกนั้นจะสำเร็จ...

4. ส่วนผู้บัญชาการโรงพยาบาลนั้น ควรจะมีเวลากำหนดฉลองพระเดชพระคุณเพียง 3 ปี ต้องเปลี่ยนใหญ่ แต่ถ้าผู้ใดจัดการเรียบร้อยดี ก็เพิ่มอีก 3 ปี...แลผู้เปนอธิบดีโรงพยาบาลนั้น ถ้าโรงพยาบาลจะแผ่ออกไปในหัวเมืองใดในพระราชอาณาเขตรก็ต้องเปนธุระที่จะตรวจตราบังคับดูแลโรงพยาบาลนั้น ๆ ตลอดไป ถ้าเมืองใดควรจะตั้งขึ้น ก็เปนธุระที่คิดจะจัดการ แลต้องเปนผู้ตรวจตราสิ่งที่เปนอันตรายต่าง ๆ ซึ่งจะเกิดโรคแก่ชนทั้งปวง เปนต้นว่า มีของโสโครกมั่วสุม อยู่ในที่ใกล้ที่อยู่ของคนเปนอันมาก...เปนน่าที่ที่จะตักเตือนเจ้าของกรมเจ้าของน่าที่ให้จัดการแก้ไขอันตรายที่จะเกิดโรคนั้นด้วย

5. หมอเกาแวนเหนว่าควรจะมีกอมมิตตีสำหรับตรวจการโรงพยาบาลแลตรวจบาญชีเงินใช้สอยตลอดโดยลเอียด ปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 4 หน...

 

2431 - 4 รายงานการสืบราชการทหาร ณ ประเทศญี่ปุ่น ว่าด้วยเรื่องแพทย์ทหาร

.. 2431 พระวรเดชศักดาวุธ คอลอแนล และหลวงฤทธิณรงรอน เมเยอ กราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุพันธุวงษวรเดช ผู้แทนผู้บัญชาการทหารทั่วไป กรมยุทธนาธิการ เพื่อถวายรายงานการสืบราชการทหารเมืองญี่ปุ่น ที่ไปพร้อมกับพระยาภาสกรวงศ์ ราชทูต จำนวน 46 แผ่น มีความย่อเฉพาะด้านการแพทย์ โดยเขียนเป็นลักษณะถาม - ตอบ ดังนี้

...27 การรักษาพยาบาลทหารเจบไข้จัดอย่างไร คือว่า มีโรงพยาบาล อยู่ติดกับโรงทหารทุก ๆ แห่ง ฤๅ มีโรงพยาบาลใหญ่สำหรับทหารต่างหาก หมอ แลยาที่ใช้อย่างไร

27 การที่รักษาทหารป่วยไข้นั้น ตั้งโรงหมอใหญ่สำหรับรักษาทหารแห่งหนึ่ง ถ้าทหารป่วยไข้เลกน้อย หมอที่ประจำโรงทหารเบิกยาจากโรงหมอใหญ่ไปจ่าย ถ้าทหารป่วยมาก ส่งไปรักษาที่โรงหมอใหญ่ คนที่เปนหมอนั้น เลือกเอาคนทหาร ยาที่ใช้นั้นยาญี่ปุ่นบ้างยาฝรั่งบ้าง...

 

 

536 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

536_หนึ่งในของที่ระลึกในงานพระเมรุ

หนึ่งในของที่ระลึกในงานพระเมรุ

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์

ที่มา : งานจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

2431 - 5 การพระเมรุ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย และ

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.. 2431

 

2431 - 6 ความเห็นเรื่องโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์และยุนิเวอสิตี

วันที่ 8 เมษายน พ.. 2431 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ มีหนังสือ ที่ 4/49 กราบบังคมทูลถวายความเห็นเรื่องจัดการศึกษาสำหรับผู้ซึ่งจะเป็นอาจารย์ก่อน เรียกว่า นอมัลสกูล (Normal school) ถ้าได้จัดขึ้นได้คงจะเป็นทางที่มีโรงเรียนใหญ่ คือ ปับบลิคสกูล (Public school) แล ยุนิเวอสิตี (University) ในภายหลังโรงเรียนนอมัลสกูลในชั้นต้นแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ

ฝ่ายวิชานักปราชญ์ ส่วน 1 : สอน 9 วิชา Geography-Physical Geography - Mathematic - Astronomy - Zoology - Botany - Geology - Physic - Chemistry ครูสอนคือ มิสเตอเฮนรี นิโคลเล เดิมเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนแผนที่

ฝ่ายวิชาหนังสือ ส่วน 1 : สอน 3 ภาษา ไทย - บาฬี - อังกฤษ ครูสอนคือนายแพ / นายเทษ

ฝ่ายวิชากฎหมาย ส่วน 1 : สอนกระบวนพระราชกำหนดกฎหมาย และลักษณะพิจารณาความ วิชา Political Economy ครูสอนคือนายเปล่ง

 

...ถ้าได้ตั้งขึ้นตรวจตราให้สอนโดยแขงแรงสักปี 1 นักเรียนคงจะมีความรู้พอเป็นอาจารย์ได้ (ถึงยังไม่ได้ดี ไปสอนครึ่งวันมาเรียนต่อครึ่งวันก็ใช้ได้)...แลที่จะเรียนเข้ายุนิเวอสิตี้ในชั้นนี้กว่าจะเรียบร้อยคงอยู่ในอีกสัก 3 ปี ต่อนั้นไปก็คงจะมียุนิเวอสิตี้ได้ดังประเทศญี่ปุ่น...

 

2431 - 7 เปิดโรงพยาบาลที่วังหลัง

วันที่ 26 เมษายน พ.. 2431 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เรื่องบอกเปิดโรงพยาบาล

 

 

537 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

บอกเปิดโรงพยาบาล

โรงพยาบาลซึ่งพระบาทสมเดจพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดให้กอมมิตตีปฤกษากันจัดการขึ้นเปนมหาทานแก่อเนกชนนิกรที่อาไศรยอยู่ในพระราชอาณาเขตรกรุงสยามนั้น บัดนี้ได้จัดการทั้งปวงแล้วเสรจภอสมควรที่จะเปิดรักษาโรคในชั้นแรกนี้ได้แล้ว ได้จัดให้มีเรือนหมอเรือนคนป่วยไข้อยู่ มีหมอรักษาโรคแลคนพยาบาลพร้อมแล้ว โรงพยาบาลนั้นได้ตั้งอยู่ที่พระราชวังหลังริมแม่น้ำฝั่งตวันตก มีปริเวณที่อาไศรยสอาดเรียบร้อยภอสมควรกับการชั้นแรก กำหนดจะได้เปิดรับรักษาโรคต่าง ๆ ไม่ว่าโรคอย่างใด ในวัน 5 เดือน 6 แรมค่ำ 1 ปีชวด สัมฤทธิศก 1250 ถ้าผู้ใดป่วยไข้จะมาอยู่ในโรงพยาบาลนี้ ฤๅผู้คนข้าทาสป่วยเจบจะมาส่งยังโรงพยาบาลนี้ ก็จะรับรักษาให้ ไม่ต้องมีค่าธรรมเนียมอันใด...

โรงพยาบาลนี้ เปนส่วนพระราชกุศล ทรงสละพระราชทรัพยให้ตั้งขึ้นเปนทาน ในการรักษาโรคแลป้องกันความทุกขยากของชนทั้งหลายที่จะเกิดจากพยาธิ มิให้หมอฤคนพยาบาลเรียกค่ายาค่ารักษาแก่คนไข้เลยเปนอันขาด ยกไว้แต่ผู้ที่มีสัทธาในส่วนพระราชกุศลนี้ ฤามีจิตรกรุณาต่อเพื่อนมนุศยด้วยกัน จะออกเงินเข้าในส่วนพระราชกุศลมหาทานนี้ได้ไม่ห้ามปราม...

 

2431 - 8 ตั้งโรงเรียนทหารบก (สราญรมย์)

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.. 2431 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ อธิบดีกรมศึกษาธิการ มีหนังสือ ที่ 67/40 กราบบังคมทูลถวายรายงาน ราชการในกรมศึกษาธิการ ฉบับที่ 10 ความตอนหนึ่งว่า

...(3) ฝ่ายการที่จัดตั้งขนบธรรมเนียมที่ฝึกสอนแลวิธีสอน แบบสอนซึ่งจัดแบ่งเป็นพวก เป็นชั้นแลสอนวิชาหลาย ๆ อย่าง ตามที่ได้จัดเพิ่มเติมขึ้นใหม่ ก็คงได้ใช้ตามแบบนั้นตลอดมา แลเห็นประโยชน์ของแบบวิธีเปลี่ยนแปลงทำให้ผู้เล่าเรียนมีความรู้กว้างขวางขึ้นได้

อนึ่งในระหว่างนั้น กำลังข้าพระพุทธเจ้าต้องเกี่ยวข้องติดราชการฝ่ายทหารติดพันอยู่ด้วย ได้ตกลงในฝ่ายยุทธนาธิการว่า ควรจะจัดตั้งโรงเรียนสำหรับสอนวิชาเด็กนักเรียนที่เป็นทหารขึ้นอีก ข้าพระพุทธเจ้าจึ่งได้สั่งให้ เลิกโรงเรียนสราญรมย์เสียโรงหนึ่ง เลิกโรงเรียนแผนที่อีกโรงหนึ่ง จัดที่โรงเรียนสราญรมย์ตั้งขึ้นเป็นโรงเรียนสำหรับสอนวิชาฝ่ายทหาร จัดเอาพวกคะเด็ดแลพวกนักเรียนเดิมในโรงเรียนแผนที่ ไปสมทบกันเล่าเรียน ส่วนนักเรียนเก่าในโรงเรียนสราญรมย์ที่เลิกเสียนั้น ก็เข้ามาเล่าเรียนในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบบ้าง ไปเล่าเรียน ณ โรงเรียนตามวัดต่าง ๆ บ้าง ที่

 

 

538 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

โรงเรียนสราญรมย์นั้นก็คงเป็นโรงเรียนสำหรับสอนพวกคะเด็ดต่อมา วิธีสอนวิชาที่สอน แลจำนวนนักเรียนในโรงเรียนคะเด็ดคงจะมีแจ้งอยู่ในรายงานฝ่ายยุทธนาธิการนั้นแล้ว ด้วยเป็นการพแนก 1 ไปจากกรมศึกษาธิการ...

 

2431 - 9 ประกาศแจกจ่ายน้ำจืด

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.. 2431 ประกาศแจกจ่ายน้ำจืดแก่ราษฎร เนื่องจากในเดือนเมษายน พ.. 2431 มีฝนน้อย น้ำเค็มสมุทรปราการขึ้นจัดมาก ราษฎรต้องบริโภคใช้สอยน้ำเค็ม เป็นเหตุที่จะให้เกิดโรคท้องเสีย เป็นต้น

 

2431 - 10 ประโยชน์การดูงานการศึกษา ณ ประเทศญี่ปุ่น

วันที่ 15 พฤษภาคม พ.. 2431 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ มีหนังสือที่ 36 กราบบังคมทูลถวายรายงานผลการส่งขุนวรการโกศล และนายสุด ล่าม ไปตรวจการศึกษาประเทศญี่ปุ่น คงจะเป็นคุณประโยชน์สามารถสำเร็จได้สมดังพระราชประสงค์ที่พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้มีข้าหลวงกรมศึกษาธิการออกไปตรวจการและได้จัดการสอนภาษาอังกฤษขึ้นใหม่ รวมอยู่ในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ โดยพระองค์ถวายความเห็นว่าเดิมแยกกันคนละโรงเรียน เป็นเหตุทำให้ไม่เจริญ

 

2431 - 11 โรงบูรพาพยาบาล โรงพยาบาลช่วงแห่งที่ 2

วันที่ 24 มิถุนายน พ.. 2431 กอมมิตตีโรงพยาบาลกราบบังคมทูล ความว่า

 

...ด้วยการโรงพยาบาลที่วังหลังทุกวันนี้ กำลังเจริญขึ้นเสมอทุกเดือน มีคนไข้ที่ได้เข้ามารักษาอยู่ใน 20 - 30 คน...ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 6 มาจน เดือน 7 ปีชวด สัมฤทธิศก มีคนที่ได้หายโรคออกไปจากโรงพยาบาล 18 คน ที่ตายด้วยอหิวาตกโรคที่มาอยู่เมื่ออาการมากแล้ว 2 คน ตายด้วยวรรณโรคภายใน 1 คน รวมที่ตายภายในโรงพยาบาลเดือน 7 เพียง 3 คน เห็นว่าเปนการเจริญขึ้นมาก

ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า คนที่จนอนาถาไม่มีกำลังจะมายังโรงพยาบาลที่วังหลังได้จะมีอยู่โดยมาก ควรจะมี โรงพยาบาลช่วง อีกแห่งหนึ่ง เพื่อที่จะได้รับรักษาโรคเล็กน้อยแลคนจนที่มีกำลังน้อย เมื่อเปนโรคมากมายให้ส่งคนเจ็บไปยังโรงใหญ่

เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ที่บ้านจีนตานายอากรตกเป็นของหลวง เปนที่ใกล้ตำบลสามเพ็ง ซึ่งเปนที่คนประชุมอยู่มาก สมควรจะตั้งโรงพยาบาลช่วงรับรักษาโรคที่เปนเร็ว ๆ เหมือนอหิวาตกโรค แลบาดแผลสด ๆ ฤๅไข้เจ็บที่พอจะไปมาให้หมอตรวจแลรับพระราชทานยาได้ ไม่ต้องอยู่ประจำในโรงพยาบาล ที่บ้านนั้นว่างเปล่าอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าจึ่งได้ทูลถามรองอธิบดี

 

 

539 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

กรมพระคลังมหาสมบัติ ๆ ได้ประทานรายการในตึกนั้นมาแลทรงเห็นสมควรที่จะทำโรงพยาบาลได้ ข้าพระพุทธเจ้าได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานของเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติเข้ามาด้วย

การที่กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานนี้เพื่อว่าที่นั้นใกล้ที่ประชุมชน แลมีพื้นที่อยู่บ้าง ถ้าโปรดเกล้าฯ พระราชทานแล้ว จะได้ซ่อมแซมตามที่ชำรุดมากอยู่นั้นให้ใช้การได้ แลจะได้เปิดการต่อไป...

 

2431 - 12 เกิดข่าวลือทำให้คนไม่กล้าไปโรงพยาบาล

มีข่าวในราชกิจจานุเบกษา เรื่องโรงพยาบาล ว่าหลังจากเปิดโรงพยาบาลมาได้สองเดือน มีคนเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลถึง 60 คนเศษ มีคนตายเพียง 5 คนเนื่องจากมาอยู่เมื่ออาการหนักมากแล้ว และรักษาจนหายดี 30 คนเศษ จึงเป็นที่ชื่นชมยินดี แต่มีข่าวลือเกิดขึ้นว่า ถ้ารักษาหายจะต้องเป็นทหาร และความเชื่อผิด ๆ ที่ไม่ให้บ่าวไพร่มารักษาตัว หนังสือราชกิจจานุเบกษา จึงลงแจ้งความเพื่อยืนยันว่าไม่ได้จับคนมาเป็นทหาร

 

...แต่บัดนี้มีข่าวเล่าฦๅชุกชุมว่า ถ้ารักษาหายจะต้องเปนทหาร ความข้อนี้หนังสือราชกิจจานุเบกษาขอรับยืนยันเปนมั่นคงว่า การดังนั้นไม่มีเลย ด้วยพระบาทสมเดจพระเจ้าอยู่หัวของเราทั้งหลาย ย่อมมีพระบรมเดชานุภาพ ตลอดพระราชอาณาเขตรสยาม ถ้ามาทแม้นจะโปรดเกล้าฯ ให้คนในพระราช-อาณาจักรนี้ เปนทหารทั้งสิ้นจะมีเหตุขัดขวางประการใดก็ไม่มี คงต้องเปนทหารได้ทั้งสิ้น เหตุใดจะต้องการตั้งการต่าง ๆ ทำอุบาย คือ ตั้งโรงเรียนตามพระอาราม แลตั้งโรงพยาบาล จับเอาคนมาเรียนวิชา ฤๅรักษาไข้ มาเปนทหารเล่า...

แต่การอีกอย่างหนึ่ง คือความเหนผิด ที่ถือว่าจะให้ผู้คนบ่าวไพร่มารักษาตัวในโรงพยาบาล จะเปนที่เสียหาย ในชื่อเสียงของท่านผู้นายโด่งดังทราบถึงท่านผู้นั้นผู้นี้ จะเปนไม่มีกรุณาต่อบ่าว...แลคิดไปต่าง ๆ เหลือที่จะพรรณานั้น...การที่มีโรงพยาบาลขึ้นในเมืองเรา ซึ่งคนทั้งปวงยังไม่เคยเหนมีนั้น ไม่เปนการแปลกประหลาดอันใดเลย ประเทศทั้งหลายที่มีความเจริญแล้วนั้น ย่อมมีโรงพยาบาลขึ้นในบ้านในเมือง ประเทศละหลายสิบโรงทีเดียว เพราะหวังประโยชน์จะอนุเคราะห์แก่คนจนอนาถาไม่มีทรัพย์สมบัติจะหาหมอรักษาโรคภัยได้ ถึงในเมืองเรา แต่ก่อนมีไข้เจบชุกชุม กล่าวคือโรคลงท้องเปนต้น พระเจ้าอยู่หัวก็ได้โปรดให้ตั้งที่จำหน่ายยาเปนทานบ้าง ตั้งโรงรักษาไข้บ้าง ทุกคราวมา แต่บัดนี้ พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชดำริห์ที่จะบำรุงรักษาไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้ยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนตามพระอาราม การเล่าเรียนที่จัดนั้นเจริญขึ้น สำเรจตามพระราชประสงค์แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งโรงพยาบาลรับรักษา

 

 

540 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

ไข้เจบเสมอมิได้ขาด...ท่านผู้ที่ดำริห์เหนว่าถ้าให้บ่าวไปอยู่ในโรงพยาบาล จะเปนที่เสียชื่อเสียงว่าไม่มีความกรุณานั้น เปนความเหนผิดจากการที่สมควร

 

2431 - 13 ตำแหน่งแพทย์ประจำกรมทหาร

วันที่ 30 กรกฎาคม พ.. 2431 ประกาศราชกิจจานุเบกษาพระราชทานสัญญาบัตรข้าราชการฝ่ายทหาร 47 นาย และฝ่ายพลเรือน 3 นาย มีตำแหน่งแพทย์ตามระบบราชการแบบใหม่ (แบบตะวันตก) ดังนี้ ฝ่ายพลเรือน - ไม่มีตำแหน่งแพทย์ ฝ่ายทหาร - ขุนสิทธิพรหมา นายแพทย์ (เซอเยอน - Surgeon) ในกรมทหารบก หม่อมเจ้าเปล่ง ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพศิลป์ปรีชา เป็นผู้ช่วยนายแพทย์ (แอดซิสแตนเซอเยอน - Assistance Surgeon) ในกรมทหารบก

 

2431 - 14แพทย์ทหารผู้ได้รับพระราชทานน้ำพิพัฒน์สัตยา

วันที่ 6 สิงหาคม พ.. 2431 รายชื่อแพทย์ทหารผู้ได้รับพระราชทานน้ำพิพัฒน์สัตยา ที่พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีดังนี้ กรมทหารรักษาพระบรมมหาราชวัง ขุนสิทธิพรหมา - นายแพทย์ 1 หม่อมเจ้าเปล่ง ผู้ช่วยนายแพทย์ 1 กรมทหารฝีพาย นายซุง ผู้ช่วยนายแพทย์ 1

 

2431 - 15 พระราชบัญญัติสำหรับลำดับยศนายทหารบก

วันที่ 19 สิงหาคม พ.. 2431 ประกาศ พระราชบัญญัติสำหรับลำดับยศนายทหารบก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ ผู้แทนผู้บัญชาการกรมทหารทั่วไป รับสนองพระบรมราชโองการ มีความสำคัญเกี่ยวกับแพทย์ทหาร ดังนี้ ...มาตรา 4 กองทหารหลายกองไปที่ใด เมื่ออยู่ในที่อันบริเวณเดียวกัน นายทหารผู้มียศใหญ่กว่าบรรดานายทหารที่อยู่ในที่นั้นได้บังคับบัญชาคน 1 เว้นแต่นายทหารที่เป็นตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายมิใช่พลรบ คือ ยกกระบัตรกอง (ควอตเตอมาศเตอ) เกียกกายกอง (เปมาศเตอ) แล นายแพทย์ เปนต้น จะเป็นผู้บังคับบัญชาเช่นนั้นไม่ได้...

พระราชบัญญัติสำหรับลำดับยศนายทหารบก กำหนดให้มีตำแหน่งแพทย์ทหารในกรมยุทธนาธิการ มีฐานะเป็นข้าราชการทหารฝ่ายสนับสนุน ไม่ใช่ทหารฝ่ายรบ

 

2431 - 16 ตึกเสาวภาคย์ โรงศิริราชพยาบาล

วันที่ 11 ตุลาคม พ.. 2431 มิสเตอร์แกรซีขอรับพระราชทานเงินค่าทำตึกโรงพยาบาล เป็นเงินในส่วนของพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคย์นารีรัตน์ 70 ชั่ง เนื่องจากก่อสร้างตึกใกล้จะเสร็จแล้ว

 

 

541 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

541_ตึกเสาวภาคย์

ตึกเสาวภาคย์

ที่มา : งานจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

2431 - 17 ประชุมกอมมิตตีจัดการโรงพยาบาล ครั้งที่ 13

วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.. 2431 ประชุมกอมมิตตีจัดการโรงพยาบาล เรื่องโรงพยาบาลหลวง ณ วัน 4 แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีชวด สัมฤทธิศก มีความโดยย่อดังนี้ (ดูสำเนาเอกสารต้นฉบับในภาค 3)

 

...ตั้งแต่ปีกุนยังเป็นอัฐศกจนบัดนี้ ได้จัดตั้งโรงพยาบาลเปิดรับรักษาพยาบาลคนไข้ได้แล้ว 2 ตำบล คือ โรงพยาบาลใหญ่ที่วังหลัง ได้รับรักษาพยาบาลคนไข้มาตั้งแต่เดือน 6 ปีชวด สัมฤทธิศกนี้ ตำบล 1 โรงพยาบาลริมป้อมมหาไชย ได้รับรักษาพยาบาลคนไข้ในเดือน 12 ปีชวด สัมฤทธิศกนี้ตำบล 1 โรงพยาบาลที่จะได้เปิดในเร็ว ๆ นี้อีก 2 ตำบล คือ โรงพยาบาลที่ริมวัดเทพศิรินทราวาศ ตำบล 1 แพพยาบาล จะออกไปรักษาพยาบาลคนไข้ตามหัวเมือง แพ 1 ยังการที่ได้คิดตกลงแล้วจะจัดได้ต่อไปตามเวลาที่สมควรอีกหลายอย่าง คือ โรงพยาบาลรักษาคนเสียจริต โรงพยาบาลเลี้ยงเด็ก โรงเลี้ยงคนชรา โรงเรียนหัดวิชาแพทย์ เปนต้น...

 

การโรงพยาบาลซึ่งได้จัดขึ้นแล้วเพียงใด ข้าพระพุทธเจ้าได้วางแบบแผน แลได้ช่วยกันตรวจตรามาโดยแขงแรง เปนการเรียบร้อยเจริญมาโดยลำดับพอวางใจของข้าพระพุทธเจ้าได้แล้วว่า การโรงพยาบาลทั่วไปคงจะเปนประโยชน์ยั่งยืนไปได้ ไม่เสื่อมถอยเปนแน่แท้...

 

 

542 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ในที่สุดความซึ่งข้าพระพุทธเจ้ากอมมิตตีจัดการโรงพยาบาลกราบบังคมทูลพระกรุณานี้ ขอรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตที่จะได้นำความชอบของนายร้อยโท หม่อมราชวงษสนิท ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าลอองธุลีพระบาทด้วย ด้วยหม่อมราชวงษสนิทได้รับทำการก่อสร้างโรงพยาบาลแลเครื่องใช้สอยทั้งปวงมาแต่แรกตลอดจนบัดนี้ ด้วยความอุตสาหแขงแรงแลเต็มใจสนองพระเดชพระคุณเปนอย่างยิ่ง ข้าพระพุทธเจ้า เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า หม่อมราชวงษสนิทสมควรจะได้รับพระราชทานรางวัลความชอบทั้งปวงนั้นสักอย่างใดอย่างหนึ่งได้

 

วันที่ 2 ธันวาคม พ.. 2431 พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียนดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา แก่นายร้อยโท หม่อมราชวงศ์สนิท ในการที่มีความรู้วิชาช่าง ได้ทำการเปนนายช่างในที่ทั้งปวง มีโรงพยาบาลเปนต้น สำเร็จมาแล้วเปนอันมาก

 

2431 - 18 ตั้งโรงพยาบาลหลวงหัวเมือง

เดือนพฤศจิกายน พ.. 2431 มีประกาศราชกิจจานุเบกษา เรื่องพระอินทรประสิทธิ์ศร ผู้ว่าราชการเมือง รายงานจำนวนผู้ป่วยที่มารับยารักษาจากหมอที่โรงพยาบาลที่เมืองอินทรบุรี มีจำนวน 165 คน

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.. 2437 มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า พระอินทรประสิทธิ์ศร ผู้ว่าราชการเมือง เป็นผู้จัดตั้ง โรงพยาบาลเมืองอินทรบุรี พร้อมหมอรักษาขึ้น โดยได้รับการอุดหนุนจากกระทรวงธรรมการ เรื่องยาฝรั่งและเครื่องมือปลูกฝี

การจัดตั้งโรงพยาบาลตามหัวเมืองนั้น เป็นการจัดจ้างแพทย์จากกรุงเทพฯ ออกไป คือเป็นแพทย์ประจำเมือง ต่อมาเมื่อมีโรงเรียนราชแพทยาลัย จึงจ้างแพทย์ที่จบจากโรงเรียนราชแพทยาลัย ดังรายงานกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวของพระยามหาอำมาตย์ (เส็ง วิรยศิริ) รองเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 5 เดือนกุมภาพันธ์ พ.. 2457 ความว่า

 

...การรักษาโรคภัยไข้เจ็บตามหัวเมืองนั้น แต่เดิมมีแต่แพทย์ไทยในท้องที่ เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการในกรุงเทพออกไปรับราชการตามหัวเมืองมากขึ้น ข้าราชการเหล่านั้นจึงจัดจ้างแพทย์กรุงเทพออกไปด้วยสำหรับรักษาตนเองและครอบครัว แล้วมีใบบอกมาขอให้แพทย์เหล่านั้นรับพระราชทานเงินเดือนหลวงนับว่าเป็นพนักงานในราชการ ครั้นต่อมาราวพระพุทธศักราช 2436 ศิริราชพยาบาล ณ วังหลัง ได้จัดตั้งโรงเรียนราชแพทย์ฝึกหัดแพทย์ได้บ้าง ผู้ว่าราชการเมืองบางเมืองจึงได้มาจ้างแพทย์จากโรงเรียนนั้นไปไว้รับราชการ...

 

 

543 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

การเริ่มต้นจัดให้แพทย์ประจำเมือง และว่าจ้างแพทย์เชลยศักดิ์ (แพทย์อิสระ) ในกรุงเทพฯ เป็นการส่วนตัวของผู้ว่าราชการเมือง เมื่อได้ทำประโยชน์แก่ราชการด้วยเพราะช่วยรักษาพยาบาลประชาชนในเมืองนั้น แต่เกินกำลังผู้ว่าราชการเมืองที่จะว่าจ้างส่วนตัว จึงได้ขอเงินเดือนจากทางราชการ รับราชการเป็นแพทย์ประจำเมือง ขึ้นตรงกับผู้ว่าราชการเมืองของกระทรวงมหาดไทย การจัดตั้งโรงพยาบาลที่เมืองอินทรบุรีเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.. 2431 จึงเป็นโรงพยาบาลหลวงในหัวเมืองแห่งแรก

 

2431 - 19 กรมหมอขอพระราชทานสัญญาบัตร

แม้จะมีการปรับปรุงระบบการแพทย์ มีการตั้งโรงพยาบาลแล้ว แต่ยังคงมีแพทย์ในสังกัดกรมหมอซึ่งเป็นหมอหลวงอยู่

วันที่ 21 ตุลาคม พ.. 2431 พระยาแพทยวงษาวิสุทธาบดี จางวาง และพระยาอมรสาสตร์ประสิทธิศิลป์ จางวาง มีหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานสัญญาบัตรให้แก่ ขุนราชพรหมา ขุนรัตนแพทย์ ขุนราชแพทย์ หมื่นคุณแพทย์พิทยากรม หมื่นภักดีแพทยา ขุนประสิทธิโอสถ ขุนกุมารประเสริฐ นายเสน และหมอ 8 คน ขอรับพระราชทานเลื่อนตำแหน่ง ได้แก่ ขุนราชพรหมา พระทิพจักษุสาตร ขุนรัตนแพทย์ เป็นพระสิทธิสาร ขุนราชแพทย์ เป็นหลวงราชนิทาน หมื่นคุณแพทย์พิทยากรม เป็นขุนราชพรหมา ขุนประสิทธิโอสถ เป็นขุนรัตนแพทย์ หมื่นภักดีแพทยา เป็นขุนราชแพทย์ ขุนกุมารประเสริฐ เป็นหลวงกุมารแพทย์ (เจ้ากรมหมอกุมาร) ส่วนหมอฝีขวา นายเสน ได้รับราชการนานแล้ว ยังหามีที่ตำแหน่งในราชการไม่ และยังมีตำแหน่งว่าง 3 ตำแหน่ง ไม่ได้พระราชทานบรรจุขุนนางใหม่ ได้แก่ ในตำแหน่ง พระวรรณการสกลแพทยา หลวงวรรณกรรมสวัสดี ขุนษาแพทย์

วันที่ 9 ธันวาคม พ.. 2431 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตร กรมหมอ

1) ขุนรัตนแพทย์ เป็นพระสิทธิสาร เจ้ากรมหมอยาซ้าย ถือศักดินา 1400

2) ขุนราชพรหมา เป็นพระทิพจักษุสาตร เจ้ากรมหมอยาขวา ถือศักดินา 1400

3) ขุนราชแพทย์ เป็นหลวงโรคนิทาน ปลัดกรมหมอยาขวา ถือศักดินา 800

4) หมื่นคุณแพทย์พิทยากรม เป็นขุนราชพรหมา ปลัดกรมหมอยาขวา ถือศักดินา 800

5) ขุนประสิทธิโอสถ เป็นขุนรัตนแพทย์ ปลัดทูลฉลองกรมหมอศาลา ถือศักดินา 600

6) หมื่นภักดีแพทยา เป็นขุนราชแพทย์ ถือศักดินา 600

 

วันที่ 21 ตุลาคม พ.. 2435 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตร กรมหมอ

1) หลวงโรคนิทาน เป็นพระสิทธิสาร เจ้ากรมหมอยาซ้าย ถือศักดินา 1400

2) ขุนเทวะพรหมา เป็นหลวงโรคนิทาน ปลัดกรมหมอยาขวา ถือศักดินา 800

3) หมื่นวาโยไชย เป็นหลวงปาณีบริหาร ปลัดจางวางกรมหมอนวด ถือศักดินา 600

 

 

544 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

4) หมื่นคุณแพทยพิทยากรม เป็นขุนเทวะพรหมา ปลัดกรมหมอยาซ้าย ถือศักดินา 800

ประกาศราชกิจจานุเบกษาแต่งตั้งขุนนางในกรมหมอหลวง (กรมแพทยาโรงพระโอสถ) มีอยู่จนถึงปี พ.. 2435 แต่ไม่มีการรับขุนนางหมอหลวงคนใหม่เข้ามาเพิ่ม ส่วนขุนนางกรมหมอหลวงที่มีอยู่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับราชการเลื่อนยศไปตามเดิม และรับราชการจนกระทั่งถึงแก่กรรม ระบบราชการของการแพทย์แบบโบราณจึงค่อยเลิกไปเองหลังจากขุนนางที่มีอยู่เดิมถึงแก่กรรมไปทั้งหมด

 

2431 - 20 แจ้งความโรงพยาบาลสยาม

วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.. 2431 แจ้งความโรงพยาบาลสยามในราชกิจจานุเบกษา สรุปได้ว่า สถานที่รับรักษาคนไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ตั้งขึ้นแล้วที่วังหลังแห่งหนึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่ และอีกแห่งอยู่นอกกำแพง ริมป้อมมหาไชยหน้าวังบูรพาภิรมย์ ซึ่งโรงพยาบาลทั้งสองแห่งนี้ รับรักษาทุกโรค มีทั้งยาไทยและยาอย่างหมอฝรั่ง มีอาหารให้ 3 เวลา รับรักษาพยาบาลคนคลอดบุตรและปลูกฝี ไม่ต้องเสียค่ายารักษาแต่อย่างใด และรับคนทุกชาติภาษา แยกชายและหญิง และรายงานว่า...โรงพยาบาลวังหลัง ซึ่งเปิดแล้วใน 6 เดือน มีคนที่เข้ามารักษาตัวด้วยโรคต่าง ๆ มีจำนวนชาย 137 คน หญิง 78 คน รวม 215 คนได้หายไปแล้ว ชาย 119 คน หญิง 71 คน รวม 190 คน ได้ตายด้วยโรคที่มากมาแล้วเพียง 25 คน แลมีคนมาให้ตรวจโรคแลรับยาไปกิน 112 คน...

หม่อมราชวงศ์จิตร ผู้แต่งราชกิจจานุเบกษา ระบุเพิ่มเติมว่า

 

...ยังได้ทราบว่าจะมีโรงพยาบาลรับเลี้ยงแลรักษาคนเสียจริต 1 โรงพยาบาลเลี้ยงเด็กแลรับรักษาคนมาคลอดบุตร 1 โรงพยาบาลคนชรา 1 จะมีต่อไปอีกภายน่าไม่สู้ช้านัก การที่ตั้งโรงพยาบาล รักษาไข้เจ็บประจำอยู่เสมอดังนี้ แต่ก่อนมาก็มิได้เคยมี ครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระมหาเมตตากรุณาแก่อาณาประชาราษฎร์อย่างยิ่ง ได้โปรดให้ตั้งขึ้นนั้นเป็นพระเดชพระคุณแก่คนทั้งหลายเปนอันมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ทำให้บ้านเมืองสมบูรณ์ด้วยวิชาความรู้อย่างใด และไม่นำมาซึ่งทรัพย์สมบัติของบ้านเมือง โดยที่เห็นทันตาทันใจเร็ว ๆ นั้นก็ดี แต่เปนการช่วยชีวิตรฤๅความลำบากของไพร่บ้านพลเมืองที่ยากจนลำบากให้พ้นไป...

 

2431 - 21 ตั้งโรงพยาบาลคนเสียจริต

วันที่ 11 ธันวาคม พ.. 2431 แจ้งความโรงพยาบาลในราชกิจจานุเบกษา ประกาศเชิญชวนหมอที่ชำนาญในการรักษาคนเสียจริตว่า เจ้าพนักงานใหญ่ในโรงพยาบาลขอแจ้งความประสงค์ ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพนักงานจัดการโรงพยาบาล และได้จัดการตั้งโรงพยาบาลขึ้นแล้ว 2 แห่ง

 

 

545 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

545_แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2450

แผนที่กรุงเทพฯ พ.. 2450

แสดงบริเวณวัดมหาธาตุ

ที่มา : หน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

...บัดนี้เจ้าพนักงานใหญ่คิดที่จะตั้งโรงพยาบาลรับเลี้ยงรักษาคนที่เสียจริต มีสัญญาวิบัติ...จึงแจ้งความมายังท่านผู้ที่ชำนาญการพยาบาลรักษาคนเช่นกล่าวแล้วให้ทราบ ถ้ามีความปรารถนาที่จะรับการนั้นแล้ว เชิญมาหาพระประสิทธิวิทยาที่โรงพยาบาลใหญ่ ตำบลวังหลัง เพื่อที่จะได้ปฤกษาการที่จะตกลงกันให้ตลอด...เมื่อได้ทราบความนี้แล้ว ท่านเห็นว่าผู้ใดชำนิชำนาญ การรักษาโรคอย่างนั้นจงแนะนำมารับการ ฤๅมาปฤกษาตามกำหนดตำบลที่ ก็จะเปนผลดีแก่ท่านมีจิตร์เมตตากรุณาแก่ชนทั้งหลาย ถึงมาทว่าในบ้านเมืองของเรามีคนที่เปนบ้าน้อยไม่เหมือนบางประเทศก็ดี ถ้าได้ตั้งโรงรักษาขึ้นก็คงมีประโยชน์พอแก่การจะทำให้คนที่เปนบ้า ซึ่งควรจะหาย หายได้มากดีกว่าจะทิ้งทอดไว้...

 

 

546 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2431 - 22 ตั้งมหาธาตุวิทยาลัยปฏิรูปการศึกษาของพระสงฆ์

วันที่ 20 ธันวาคม พ.. 2431 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ มีหนังสือที่ 118 กราบบังคมทูลเรื่องโรงเรียนพระปริยัติธรรม เดิมได้จัดการเล่าเรียนให้แก่พระภิกษุสามเณรในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีความขัดข้องต่าง ๆ และเห็นว่า...ควรจัดที่ วัดมหาธาตุเป็นดีกว่าที่อื่น เพราะเป็นวัดอยู่ใกล้พระราชวัง ศาลาแลบริเวณรกร้างอยู่เปล่า ถ้า จัดเป็นวิทยาไลย ขึ้น ก็จะหมดจดงดงามเป็นที่ ใครไปมาควรดูควรชมได้...

 

2431 - 23 พระราชทานมรดกของเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ให้กับ

โรงพยาบาล ณ วังหลัง และทรงขอบใจกรมหมื่นดำรงราชานุภาพที่เป็นต้นคิด

เรื่องจัดตั้งโรงพยาบาล

วันที่ 25 ธันวาคม พ.. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาถึงคอมมิตตีจัดการโรงพยาบาล ความสำคัญบางตอนว่า

 

...โรงพยาบาลนี้ได้ คิดมาช้านาน อยากจะให้มีขึ้นได้ในทันใด แต่การนั้นไม่สำเร็จไปได้ตลอด...การที่คิดไว้นี้ได้ทดลองจะจัดการบ้างก็ยังไม่เห็นว่าจะเป็นการถาวรมั่นคงได้ ภายหลังเกิดวิบัติเคราะห์ร้ายลูกเราซึ่งเป็นที่รักตายเป็นที่สลดใจด้วยการที่รักษาไข้เจ็บ เห็นว่าแต่ลูกเราพิทักษ์รักษาเพียงนี้ ยังได้ความทุกข์เวทนาแสนสาหัส ลูกราษฎรอนาถาทั้งปวงจะได้ความลำบากทุกข์เวทนายิ่งกว่านี้ประการใด ยิ่งทำให้มีความปรารถนาที่จะให้มีโรงพยาบาลยิ่งขึ้น ภายหลังกรมหมื่นดำรงราชานุภาพคิดการที่จะตั้งโรงพยาบาลทำความเห็นมายื่น เห็นว่าเป็นทางที่จะจัดการตลอดได้ จึ่งได้ตั้งท่านทั้งหลายเป็นคอมมิตตีจัดการ แลได้ปรึกษากับแม่เล็กเสาวภาผ่องศรี มีความชื่นชมในการที่จะสงเคราะห์คนที่ได้ความลำบากด้วยป่วยไข้นี้ด้วย ยอมยกทรัพย์สมบัติของลูกที่ตายให้เป็นส่วนในการทำโรงพยาบาลนี้เป็นต้นทุน...ขอขอบใจกรมหมื่นดำรงราชานุภาพซึ่งเป็นต้นคิด แลคอมมิตตีทั้งปวงอันได้พร้อมใจกันช่วยจัดการให้ตลอดสมประสงค์ได้ดังนี้...

 

การที่คิดไว้นี้ได้ทดลองจะจัดการบ้างก็ยังไม่เห็นว่าจะเป็นการถาวรมั่นคงได้ทรงหมายถึง การที่ทรงจัดโรงพยาบาลในกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์และโรงพยาบาลทหารหน้าก่อนหน้านี้

การโรงพยาบาลหลวงแห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานทุนก่อสร้างโรงพยาบาล จำนวน 200 ชั่ง (16,000 บาท) สร้างอาคารเรือนไม้ 6 หลัง เป็นอาคารเครื่องไม้มีเฉลียงโดยรอบ ประกอบด้วยเรือนใหญ่ 3 หลัง เรือนเล็ก 3 หลัง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี พระราชมารดาในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชทานเงินของพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ เป็นเงิน 700 ชั่ง โปรดเกล้าฯ สร้างถาวรวัตถุขึ้นไว้

 

 

547 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ในโรงพยาบาลนี้ ให้เปนเครื่องรฦกแลเปนส่วนพระราชกุศลพระราชทานกอมมิตตีได้ปรึกษาพร้อมกันตกลงเป็นทำตึกสำหรับสอนวิชาแพทย์ ซึ่งเรียกตามภาษาอังกฤษว่า ตึกแอดมินิสเตตีฟ คือ ตึกอำนวยการและห้องเรียนของโรงเรียนราชแพทยาลัย และพระอรรคชายาเธอ หม่อมเจ้าเสาวภาคย์นารีรัตน์ซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วนั้น เมื่อยังทรงประชวรอยู่ได้ทรงกำหนดเงินไว้ว่าจะประทานช่วยในการโรงพยาบาล 30 ชั่ง ทำตึกสำหรับคนไข้อีกหลังหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ทำแล้ว และโปรดพระราชทานเงินเพิ่มเติมอีก ตามที่ช่างกำหนดมาด้วย

คนอังกฤษในกรุงเทพฯ ร่วมกันบริจาคเงิน 10 ชั่ง (ฉลองสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียเสด็จดำรงสิริราชสมบัติมาได้ 50 ปี) สมทบกับทุนโรงพยาบาลอีก 20 ชั่ง ทำเป็นตึกสำหรับคนไข้ ชื่อ ตึกวิกตอเรียวาด เมื่อรวมตึกทั้ง 3 หลังนี้กับตึกอีก 6 หลังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงินจัดสร้างไว้ครั้งแรก จึงมีอาคารทั้งหมด 9 หลัง รวมเป็น 940 ชั่ง

 

2431 - 24 จัดตั้งกรมพยาบาล และพระราชทานนามโรงพยาบาลที่วังหลังว่าโรงศิริราชพยาบาล

วันที่ 25 ธันวาคม พ.. 2431 มีพระบรมราชโองการในราชกิจจานุเบกษา จัดตั้งกรมพยาบาลและตั้งชื่อโรงศิริราชพยาบาลความสำคัญบางตอนว่า

 

547_ตึกวิกตอเรีย

ตึกวิกตอเรีย

ที่มา : งานจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

 

548 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงษานุวงษ์แลข้าราชการหลายพระองค์หลายนาย พร้อมกันเปนกอมมิตตี จัดการตั้งโรงพยาบาลขึ้นสำหรับพระนคร เพื่อเปนประโยชน์แก่มหาชนนิกรทั่วไป กอมมิตตีได้คิดจัดการตั้งโรงพยาบาล เปิดรับรักษาพยาบาลคนไข้ได้แล้วในสองตำบล คือ โรงพยาบาลใหญ่ที่วังหลังได้รับรักษาคนไข้มาแต่ ณ เดือน 6 ปีชวด สัมฤทธิศกนี้ ตำบลหนึ่ง โรงพยาบาลริมป้อมมหาไชย ได้รับรักษาพยาบาลคนไข้ ในเดือน 12 ปีชวดสัมฤทธิศก นี้ตำบลหนึ่ง ยังการที่ได้คิดตกลงแล้วจะจัดได้ต่อไปตามเวลาที่สมควรอีกหลายอย่าง

การโรงพยาบาลซึ่งกอมมิตตีได้จัดการให้เจริญขึ้นได้ถึงเวลากาลบัดนี้ เปนการที่กอมมิตตีได้จัดบริบูรณตามพระบรมราชประสงค์แล้ว สมควรที่จะตั้งเปนกรมพยาบาลขึ้นกรมหนึ่ง มีพนักงานบังคับบัญชาการต่อไปได้

จึ่งมีพระบรมราชโองการให้พระบรมวงษานุวงษ์แลข้าราชการซึ่ง เปนกอมมิตตีจัดการโรงพยาบาลนี้ออกจากน่าที่เปนผู้จัดการโรงพยาบาล โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเปน กรมพยาบาล ขึ้นกรมหนึ่ง แลโรงพยาบาลใหญ่ที่วังหลัง ให้เรียกว่า โรงศิริราชพยาบาล...

ประกาศมา ณ วันที่ 3 เดือน 1 แรม 7 ค่ำ ปีชวด สัมฤทธิศก ศักราช 1250

 

.. 2432

 

2432 - 1 เริ่มใช้คำว่ากระทรวง ในราชกิจจานุเบกษา

วันที่ 9 มีนาคม พ.. 2432 มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ว่า ทรงพระราชดำริห์ว่า ท้องตรา ที่มีไปยังหัวเมือง ดำเนินพระบรมราชโองการนั้น แต่ก่อนมามีแต่ชื่อเสนาบดีสำหรับตำแหน่งข้างต้น แลประทับตราข้างท้าย หาได้ลงชื่อตัวผู้เป็นเสนาบดีบังคับการ กระทรวง นั้น ๆ ไม่ แต่นี้ต่อไป ถ้าจะมีท้องตราไปถึงหัวเมือง ให้เสนาบดีเจ้ากระทรวงลงชื่อในท้ายตราด้วย เพื่อจะได้เปนหลักฐานมั่นคงขึ้น

2432 - 2 ย้ายเรือนในการพระเมรุไปใช้ในโรงพยาบาล

วันที่ 14 มีนาคม พ.. 2432 กอมมิตตีโรงพยาบาลกราบบังคมทูลถวายรายงาน โดยแนบบัญชีระบุว่าเรือนที่เหลือ 22 หลังนั้นยกไปปลูกในที่ใดบ้าง

...ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงได้ตรวจดูเรือนต่าง ๆ ในบริเวณพระเมรุ เหนด้วยเกล้าฯ ว่า จะใช้ในการโรงพยาบาลได้มีหลายหลัง แต่บางหลังท่าน

 

 

549 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

549_1

เปลี่ยนจากหลังคามุงจากเป็นหลังคากระเบื้องใน พ.. 2457

ที่มา : งานจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

 

549_2

โรงศิริราชพยาบาล สมัยรัชกาลที่ 6

ที่มา : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ภ.002 หวญNAT 5 - 2 P0008486 รพ.ศิริราช

 

 

550 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ผู้ทำได้ทำโดยอย่างประนีตงดงาม ด้วยลวดลายบ้าง ทำชุกชิก เปนห้องเล็กห้องน้อยบ้าง ทำใหญ่โตกว่าโถงไม่มี ถ้าจะทำฝาปิดบังได้บ้าง ถ้าจะรับพระราชทานไปใช้ในโรงพยาบาลทั้งหมด บางหลังก็จะใช้การอันใดไม่ได้ เหลือแก่ความต้องการของโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลบัดนี้ก็ยังไม่ได้ปลูกแผ่รวมเข้าไปตามแปลนของวังหลัง ทำแต่พอใช้การในชั้นแรกครั้งหนึ่งก่อน ครั้นจะนำเรือนทั้งปวงไปไว้หมด ก็ไม่มีที่พอแลไม่มีการจะใช้ ถ้าจะไปปลูกไว้นอกจากที่มีรั้วรอบขอบชิด ก็เกรงว่าจะมีผู้ร้ายทำอันตรายได้ แลจะต้องเสียค่ารักษาซ่อมแซมเรือนที่งดงามวิจิตรแลตกแต่งทาสีปีหนึ่งคงใช้เงินมาก เกินกว่าประโยชน์ที่จะได้รับในการพยาบาลรักษาไข้

เห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่าที่จะรับพระราชทานเรือนต่าง ๆ ไปใช้ในการโรงพยาบาลแต่ 10 หลัง

 

เรือนของกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ          ทำตพานน้ำ

เรือนของพระองค์เจ้าวรวรรณากร เปนที่หมออยู่

เรือนของเจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงษ    เปนที่คนดูแลการเบ็จเสร็จอยู่

เรือนของกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม        ให้คนไข้อยู่ได้

เรือนของกรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์       ให้คนไข้อยู่ได้

เรือนของพระองค์เจ้าไชยานุชิต              ให้คนไข้อยู่ได้

เรือนของพระองค์เจ้าวัฒนานุวงษ           ให้คนไข้อยู่ได้

เรือนของพระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ (และ) เรือนของพระองค์โสณ-บัณฑิต     จะปลูกให้ต่อกันเปนที่รับพระราชทานอาหารคนไข้

เรือนกรมสมเดจพระสุดารัตนราชประยูร    เปนโรงพยาบาลอีกแห่งได้

 

เรือนนอกจากนี้เปนขอเหลือใช้หนักแรงรักษาแลงามเกินกว่าที่จะได้ประโยชน์ทั้งนั้น แต่ได้ทรงพระราชดำริห์ไว้ว่าพระราชทานเปนส่วนโรงพยาบาล ครั้นจะไปใช้การอื่น ๆ ก็ไม่สมควร เห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันขอพระราชทานให้จัดซื้อเปนของหลวงไปปลูกที่พระราชวังบางปะอิน แลสวนสราญรมย์แลที่อื่น ๆ บ้างก็พอหมด เพราะเหลืออยู่ไม่มากนัก ส่วนราคาเรือนนั้นแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเท่าใด แล้วจะได้นำเงินนั้นไปใช้การโรงพยาบาลต่อไปตามที่ควรจะใช้...

ส่วนเรือนที่จะรับพระราชทานไปใช้ในการโรงพยาบาล 10 หลัง ที่กราบบังคมพระกรุณามาข้างต้นนั้น จะรื้อไปปลูกใหม่ต้องเสียค่ารื้อแลปลูกอีกข้าพระพุทธเจ้าขอพระบารมีปกเกล้าฯ รับพระราชทานค่ารื้อค่าปลูกเปนเงินพระราชทาน เพราะเงินทุนของโรงพยาบาลนั้นต้องใช้ค่ายาค่าอาหารแลการต่าง ๆ มาก ด้วยคนไข้ในโรงพยาบาลทุกวันนี้มีมากขึ้นเสมอ...

 

 

551 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2432 - 3 ร่างอัตราเงินเดือนแพทย์ทหารในกระทรวงยุทธนาธิการ

วันที่ 23 มีนาคม พ.. 2432 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุพันธุวงษวรเดช ผู้แทนผู้บัญชาการทหารทั่วไป กรมยุทธนาธิการ กราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบ เรื่องเงินเดือนของเจ้าพนักงาน (ข้าราชการ) ในกรมยุทธนาธิการ จำนวน 28 หน้า ได้คัดย่อไว้บางส่วน ดังนี้

 

...ด้วยการจำหน่ายเงินเดือนเจ้าพนักงานในกรมยุทธนาธิการแลกองทหารบกทหารเรือทั้งปวงเวลานี้ ตั้งแต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ได้รับเงินล่วงน่าจ่ายไปตามกำหนดเดือนแล้ว จึงทำฏีกายื่นพระคลังต่อภายหลังนั้นนับว่าเปนการเรียบร้อยดีอยู่ตลอดแล้ว แต่ จำนวนเงินเดือนซึ่งจะจำหน่ายให้แก่เจ้าพนักงานทั้งปวงนั้นยังหามีอัตราไว้ให้เปนหลักถานแน่นอนประการใดไม่ ย่อมเปนช่องที่เจ้าพนักงานกรมยุทธนาธิการจะจำหน่ายเงินเดือนได้แต่ลำพังความคิดเห็นได้ทุกประการ

ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้พร้อมกันเหนด้วยเกล้าฯ ว่า การที่กรมนี้มีน่าที่ต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงินเดือนมากเหลือเกินนัก ย่อมจะได้รับความลำบากต่อไปภายน่า สมควรจำเปนที่จะต้องรีบตั้งอัตราเงินเดือนลงไว้เสียให้เปนแบบแผนแน่นอน จะได้เปนที่ยึดหน่วงอ้างอิงเหตุผลซึ่งได้สั่งจ่ายได้ตามกำหนด ถึงแม้ว่าจะเปนการมากน้อยขาดเหลือไม่เปนที่ถูกต้องอย่างใดก็ดี เมื่อจะแก้ไขอัตราเปนคราว ๆ ไป ก็ไม่เปนการยากลำบากนัก เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า อัตราเงินเดือนของกระทรวงยุทธนาธิการ (มินิศเตอออฟวาแอนด์มริน) ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้เรียบเรียงไว้ตามความเห็นซึ่งจะ จัดการเปลี่ยนแปลงราชการอย่างใหม่ นั้น พอจะใช้ไปพลาง ๆ ในเวลานี้ได้

ในอัตราเงินเดือนกระทรวงยุทธนาธิการที่ได้คิดเรียบเรียงไว้นั้น ได้แบ่งเป็น 3 หมวด คือ

หมวด 1 เปนเงินเดือนพนักงานผู้จัดการทำการรักษาการทั้งปวง อย่าง 1

หมวด 2 เปนเงินเดือนพนักงานกองทหารบกทั้งปวง อย่าง 1

หมวด 3 เปนเงินเดือนกองทหารเรือ อย่าง 1

ในหมวด 1 นั้นแยกวิธีผู้ซึ่งจะได้รับเงินเดือนเปน 5 พวก ดังนี้

1) ข้าราชการผู้ซึ่งรับราชการอยู่ในกรมยุทธนาธิการ (คือ วาแอนด์มรินดีปาตแทนต์) ที่นับว่า เปนกรมพลเรือน คือ ผู้ที่จะได้รับตำแหน่งนั้นจะเปนนายทหารก็ได้ พลเรือนก็ได้ มีอัตราเงินเดือนเป็นจำนวนเดียว ถึงแม้ว่ามียศทหาร ถ้ารับราชการอยู่ในกรมนี้แล้ว เงินเดือนยศทหารก็ต้องขาด คงรับแต่อย่างพลเรือน

2) ข้าราชการผู้รับราชการอยู่ในกรมทหารบก (คือ มิลิตารีดิปาตเมนต์) ฤๅกรมทหารเรือ (เนวัลดิปาตเมนต์)

 

 

552 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ที่นับว่าเป็นกรมทหารแท้ คือ ผู้ที่จะได้รับตำแหน่งอยู่ในกรมทหารบกนั้นต้องเปนนายทหารบก ผู้ที่จะได้รับตำแหน่งอยู่ในกรมทหารเรือนั้นเปนนายทหารเรือ มีอัตราเงินเดือนเปน 2 จำนวน คือได้รับเงินเดือนตามยศทหารจำนวน 1 รับเงินเดือนสำหรับตำแหน่งทำการจำนวนหนึ่ง เว้นไว้แต่ข้าราชการในกรมนี้บางพวกที่จำเป็นต้องใช้คนพลเรือนแท้ (สำหรับเมืองเราที่ทหารผู้น้อยยังไม่รู้วิชาพอ) คือเสมียนเปนต้น (แท้จริงควรจะต้องใช้ทหารซึ่งจะมีเงินเดือนเปน 2 จำนวนเหมือนกัน) ข้าราชการเหล่านี้จึงให้มีอัตราเงินเดือนแต่จำนวนเดียวเหมือนกรมยุทธนาธิการ

3) ข้าราชการผู้ซึ่งรับเงินเดือนอยู่ในกรมขึ้นกรมยุทธนาธิการ มีอัตราเงินเดือนจำนวนเดียวเหมือนกรมยุทธนาธิการ

4) ข้าราชการผู้ซึ่งรับราชการอยู่ในกรมขึ้นกรมทหารบกฤๅทหารเรือ มีอัตราเหมือนกรมทหารบกฤๅกรมทหารเรือ

5) ข้าราชการที่ได้รับราชการเปน นายทัพนายพล (คือ ฟิลด์มาแชลแลเยเนราล) ที่นับว่าเปนนายทหารอย่างสูง เมื่อได้รับยศนายทหารนี้แล้วต้องได้รับเงินเดือนสำหรับยศตามอัตราอยู่เสมอ เว้นไว้แต่ยกไปรับราชการในตำแหน่งพลเรือนคือในกรมยุทธนาธิการ ฤๅกรมขึ้นกรมยุทธนาธิการเปนต้น เปนขาดเงินเดือนจำนวนยศนายทหารฤๅออกอยู่ในกองหนุน (รีเสิฟ - Reserve) ที่จะต้องรับเงินเดือนตามพระราชบัญญัติที่มีแล้ว ฤๅออกจากราชการทหาร (คือ รีไตร์ - Retire) ไปรับราชการกรมอื่นก็ดี ไม่ได้ทำราชการเลยก็ดี เปนขาดจำนวนเงินตามอัตรายศนั้น

ในหมวด 2 แลหมวด 3 นั้นแยกวิธีผู้ซึ่งจะได้รับเงินเดือนเปน 3 อย่าง ดังนี้

1) ข้าราชการซึ่งรับราชการอยู่ในกองทหารบก (คือ คอปฤๅ รีเยเมนต์ - Corps or Regiment) กองทหารเรือ (คือ ฟิลดฤๅชิบ - Field or Ship) ข้าราชการนั้นต้องเปนนายทหารบกฤๅทหารเรือแท้ มีอัตราเงินเดือนแต่สำหรับยศนายทหารที่ทำการในยศทหารจำนวนเดียว

2) ข้าราชการในกองทหารบกฤๅกองทหารเรือที่เปนนายทหารผู้ช่วย (คือ สตาฟออฟฟีเซอ - Staff officer) มีปลัดกอง กระบัติกอง (คือ แอดยุแตนต์ฤๅควอเตอมาศเตอร์ - Adjutant or Quartermaster) เปนต้น มีอัตราเงินเดือนเปน 2 จำนวน คือ เงินเดือนยศนายทหารจำนวนหนึ่ง เงินเดือนตำแหน่งจำนวนหนึ่ง

3) พนักงานซึ่งรับราชการในกองทหารบกฤๅทหารเรือที่จำเป็นจะต้องใช้คนพลเรือนมีเสมียนเปนต้น มีอัตราเงินเดือนจำนวนเดียว ไม่เกี่ยวกับยศทหารเหมือนที่กล่าวข้างต้น

การซึ่งได้แบ่งอัตราเงินเดือนไว้เปนต่าง ๆ หลายอย่างดังนี้ ได้

 

 

553 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

อาไศรยอัตราตามแบบอย่างเมืองในประเทษยุโรปเปนหลักถาน เพราะเห็นด้วยเกล้าฯ เปนการดีที่มีเหตุผลอ้างอิงได้ต่าง ๆ

แต่เวลานี้กรมยุทธนาธิการยังไม่ได้ยกขึ้นเปนกระทรวง (คือ มินิศตรี) แลยังทำการรวมกันอยู่ทั้งการพลเรือนแลการทหาร มิได้มีเสนาบดีกระทรวงยุทธนาธิการ (มินิศเตอออฟวาแอนด์มริน) ต่างหาก และไม่ได้มีแม่ทัพใหญ่ (คือ ชิฟสตาฟฤๅคอมมานเดออินชิฟ) ต่างหาก ตำแหน่งทั้ง 2 ยังรวมกันอยู่เปนอธิบดีเดียวกัน เรียกว่า ผู้บังคับบัญชาทหารทั่วไป อีกอย่างหนึ่งเข้าใจกันทุกวันนี้ว่าเปนตำแหน่งคอมมานเดออินชิฟ ส่วนกรมทำการนั้นก็ยังเป็นกรมทหารบก (คือ มิลิตารีดิปาตเมนต์) แท้ แต่ทำการในน่าที่พลเรือนด้วย ซึ่งนับว่าเปนน่าที่ของกรมยุทธนาธิการ (คือ วาแอนด์มรินดีปาตเมนต์) ด้วยเปนทำนองเกี่ยวกับเมืองยี่ปุนฤๅฝรั่งเศสกลาย ๆ ในอัตราหมวด 1 ที่ 1 แลที่ 3 จึงยังไม่มีประโยชน์สิ่งใด แท้จริงการต่อไปถ้าจะรวมกันอยู่เหมือนทุกวันนี้หาสมควรไม่ ที่เปนอยู่ทุกวันนี้ได้นั้น ก็เพราะการทหารเก่าใหม่ ยังไม่ได้รวมกันทั้งสิ้น สักแต่ว่าจัดการทหารอย่างใหม่ขึ้นในแผนกหนึ่งเพื่อเปนการบำรุงชื่อเสียงบ้านเมืองให้โด่งดังว่ามีทหารดีไปคราวหนึ่งก่อนเท่านั้น แลธรรมเนียมที่จะจัดการอย่างใหม่นั้นก็จะได้เปลี่ยนแปลงอีกไม่ช้านัก ส่วนอัตราเงินเดือนทหารที่ควรจะต้องมีในเวลานี้ก็เปนการจำเปนแล้ว...

บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตที่จะได้ใช้อัตราเงินเดือนกรมทหารบก (คือ มิลิตารีดิปาตเมนต์) แทนกรมยุทธนาธิการที่เปนอยู่เดี๋ยวนี้กับทั้งกองทหารบกในตารางอัตราเงินเดือนหมวดที่ 1 แลหมวดที่ 2 ที่ได้ส่งเข้าไปทูลเกล้าฯ ถวายนั้นในจำนวนเดือน 5 ปีฉลูนี้เปนต้นต่อไป การจะควรประการใดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้า

ภาณุรังษี

ผู้แทนผู้บัญชาการทหารทั่วไป

 

 

หมายเหตุ

1. โครงสร้างอัตราเงินเดือนข้าราชการในกระทรวงยุทธนาธิการ เป็นอัตราเงินเดือนข้าราชการแบบตะวันตกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ระบบราชการไทย ดังความในข้อต่าง ๆ ดังนี้

จำนวนเงินเดือนซึ่งจะจำหน่ายให้แก่เจ้าพนักงานทั้งปวงนั้นยังหามีอัตราไว้ให้เปนหลักถานแน่นอนประการใดไม่ ย่อมเปนช่องที่เจ้าพนักงานกรมยุทธนาธิการจะจำหน่ายเงินเดือนได้แต่ลำพังความคิดเห็นได้ทุกประการ

สมควรจำเปนที่จะต้องรีบตั้งอัตราเงินเดือนลงไว้เสียให้เปนแบบแผนแน่นอน.”

การซึ่งได้แบ่งอัตราเงินเดือนไว้เปนต่าง ๆ หลายอย่างดังนี้ ได้อาไศรยอัตราตามแบบอย่างเมืองในประเทษยุโรปเปนหลักถาน

 

 

554 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2. โครงสร้างอัตรากำลังข้าราชการของ กระทรวงยุทธนาธิการ พ.. 2433 - 2435 (ซึ่งผูกพันตามโครงสร้างเงินเดือน) ได้แบบอย่างจากประเทศยุโรป ดังข้อความว่า

การซึ่งได้แบ่งอัตราเงินเดือนไว้เปนต่าง ๆ หลายอย่างดังนี้ ได้อาไศรย อัตราตามแบบอย่างเมืองในประเทษยุโรป เปนหลักถาน

3. การจัดตั้ง กรมยุทธนาธิการ พ.. 2430 - 2432 จัดตามแบบประเทศญี่ปุ่นและฝรั่งเศส ดังข้อความว่า

กรมยุทธนาธิการ...ด้วยเปนทำนองเกี่ยวกับเมืองยี่ปุนฤๅฝรั่งเศสกลาย ๆ

4. ข้าราชการผู้ซึ่งรับราชการอยู่ใน กรมยุทธนาธิการที่นับว่าเป็นกรมพลเรือน หมายความว่า ข้าราชการที่ปฏิบัติงานกรมยุทธนาธิการล้วนเป็นตำแหน่งพลเรือน เช่น เสมียน สมุหบัญชี นายเวร ล่าม เป็นต้น เมื่อยกกรมยุทธนาธิการขึ้นเป็นกระทรวงยุทธนาธิการ ผู้บัญชาการทหารทั่วไปกรมยุทธนาธิการเปลี่ยนเป็นเสนาบดีกระทรวงยุทธนาธิการ และผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารทั่วไปเปลี่ยนเป็นราชปลัดทูลฉลอง ดังนั้น กรมยุทธนาธิการจึงเหลือเฉพาะตำแหน่งพลเรือนปฏิบัติงาน (คล้ายสำนักงานรัฐมนตรีหรือสำนักงานปลัดกระทรวงปัจจุบัน)

 

2432 - 4 ยกเลิกการใช้ปฏิทินจันทรคติ ให้ใช้ปฏิทินสุริยคติแบบปัจจุบัน

วันที่ 28 มีนาคม พ.. 2432 มีพระบรมราชโองการประกาศใช้วันอย่างใหม่ คือ ยกเลิกการใช้ปฏิทินจันทรคติ ให้ใช้ปฏิทินสุริยคติแบบปัจจุบันเป็นต้นไป นับว่าเป็นเรื่องสำคัญในการปฏิรูประบบราชการ คือ การจัดทำวันเดือนปีของลำดับเอกสารราชการตามปฏิทินสุริยคติที่ประเทศตะวันตกใช้กัน โดยเปลี่ยนการนับปีจากศักราช (..) เป็นการนับปีแบบรัตนโกสินทรศก (..) เริ่มที่ ร.. 108 และนับชื่อเดือน กำหนดให้เดือนที่หนึ่ง คือเมษายน เดือนที่ 12 คือมีนาคม รวมทั้งการลงวันที่ 1 - 31 โดยเริ่มใช้วันแบบใหม่ตั้งแต่วัน 2 เดือน 5 ขึ้น 11 ค่ำ ปีฉลูยังเป็นสัมฤทธิศก จุลศักราช 1250 นั้น เป็นวันที่ 1 เมษายน รัตนโกสินทรศก 108

 

2432 - 5 ตั้งผู้กำกับการกรมธรรมการ

วันที่ 5 เมษายน พ.. 2432 ประกาศราชกิจจานุเบกษาความว่า กรมธรรมการนั้น เปนกรมใหญ่ แต่ก่อนเคยมีพระบรมวงศานุวงษ์กำกับการกรมนั้น บัดนี้ยังหามีผู้ใดกำกับการไม่ จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพเปนผู้กำกับการกรมธรรมการ แต่วันที่ 5 เมษายน รัตนโกสินทรศก 108

 

2432 - 6 พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ อธิบดีกรมพยาบาล มีพระดำริตั้งโรงเรียนแพทย์

วันที่ 9 พฤษภาคม พ.. 2432 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ อธิบดีกรมพยาบาล มีหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่ากรมพยาบาลนี้ก็มิได้คิดแต่จะรักษาโรคอย่างเดียว คิดจะบำรุงวิชาแพทย์ศาสตร จะมีโรงเรียนแพทย์ด้วยดังนี้

 

 

555 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

โรงศิริราชพยาบาล

วันที่ 9 พฤษภาคม รัตนโกสินทรศก22 108

พระราชกระแสรับสั่ง

โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว

พระองค์เจ้าศรีว่าไปทูลกรมหลวงเทวะวงษ ไม่ได้ตอบ

ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าลอองธุลีพระบาท

ด้วยจำเดิมแต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้าเปนกอมมิตตีจัดการโรงพยาบาล คอมมิตตีทั้งปวงได้มอบน่าที่ให้ข้าพระพุทธเจ้าเปนผู้จัดแพทย์ดูแลการรักษา พยาบาลคนไข้ ข้าพระพุทธเจ้าได้ตั้งใจตรวจการรักษาได้พิจารณาอาการแลเหตุผลความป่วยไข้ของประชาราษฎรมาโดยละเอียด จนถึงทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งกรมพยาบาลขึ้นเปนพนักงานของข้าพระพุทธเจ้าตลอดมาจนบัดนี้

ข้าพระพุทธเจ้าได้ตรวจเห็นลักษณโรคเปนอันมากที่เกิดแต่ภายในร่างกาย ได้รักษาด้วยยาของหมอไทย ก็ถูกโรคแก้ไขได้มากแลเปนที่ยินดีของราษฎรเปนพื้น มีโรคบางอย่างฤๅบางชนิดที่ชอบใช้ยาอย่างยุโรป ก็ได้ให้ใช้บ้างตามความปรารถนาคนจำพวกนั้น โรคที่ต้องใช้ยายุโรปก็มีน้อย เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าการที่รักษาพยาบาลโรคภายใน เช่น วรรณโรคฤๅธาตุพิการ ไข้จับแลอื่น ๆ ด้วยแพทย์สยาม เปนที่นับถือเห็นประโยชน์ได้มาก แต่ส่วนการจะเซอเยอรีผ่าตัดเย็บผูกบาดแผลหักโค่นก็ดี วรรณโรคภายนอกต่าง ๆ ที่จะต้องผ่าเจาะก็ดี โรคเหล่านี้รักษาด้วยวิธีแลยาอย่างยุโรปดีกว่าเรวกว่าทางหมอไทยหลายสิบเท่า แลวิธีรักษาพยาบาลการเช่นนี้ หมอไทยก็อ้อมแอ้มรวมรวมเพราะไม่ใคร่มีผู้ใดสันทัด ต้องใช้หมอยุโรปทำโดยมาก ในบัดนี้ โรงพยาบาลยังมีน้อยแห่งก็พอแก่กำลังหมอกาวัน แลหมอไทยที่ทำได้มีอยู่บ้าง ส่วนราษฎรที่ทราบเกล้าฯ ว่าโรงพยาบาลรับรักษาโรคที่เกิดอันตรายประจุบัน เช่น หักโค่นฤๅแผลที่จะต้องผูกเย็บผ่าเจาะฝีต่าง ๆ ได้ ก็มีผู้มาให้รักษามากขึ้น ๆ จนถึงคนที่อยู่หัวเมืองก็เข้ามารักษา เพราะโรคอย่างนี้หาหมอผู้รักษายากที่สุด จะให้หมอชาวยุโรปรักษาก็เรียกค่ารักษาแรง จึงนิยมยินดีมารักษาที่โรงพยาบาล เปนต้นว่าคิดจะเปิดโรงพยาบาลที่ใดขึ้นมีที่กรุงเก่าเปนต้น ผู้ที่ทราบเกล้าฯ ก็ถามถึงหมอบาดแผลเย็บผูกก่อน ดูต้องการมากกว่าอื่น เมื่อเปนดังนี้แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดให้หมอไทยที่มีอยู่ในโรงพยาบาลฝึกหัดกับหมอกาวัน เพื่อจะได้แพร่หลายก็ขัดข้องด้วยจะหาหมอที่ไม่หัวเห็ดได้น้อยที่สุด หมอมีอายุแก่แล้ว มักจะอ้อแอ้ฤๅไว้ตัวเสียแทบทั้งสิ้น หมอกาวันก็ร้องว่าสอนยากเปนความเดือดร้อนกับแกอยู่ถ้าจะให้เปนการยืดยาวดีแล้ว ให้ข้าพระพุทธเจ้าคิดส่งเด็กไปเรียนวิชาหมออย่างยุโรปมาใช้แล้วแนะนำกัน

 

 

556 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ดีกว่า ถึงจะช้าหน่อยก็คงมีเวลาเห็นประโยชน์ภายน่า

ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้รับคำนั้นมาตริตรองดู เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า กรมพยาบาล ก็มิได้คิดแต่จะรักษาโรคอย่างเดียว คิดจะบำรุงวิชาแพทย์สาตร์ จะมีโรงเรียนแพทย์ด้วย ส่วนการรักษาโรคอย่างหมอสยามก็ชำนาญแก่โรคภายในดังกราบบังคมทูลแล้ว แลวิธีที่สอนก็เรียนตามตำราเก่า ยาก็ปรุงตามตำรา ถ้าจะเหลียวไปถามถึงร่างกายภายในก็มักจะโก๋ไปตามคัมภีร์โรคนิทาน เพราะมิได้เคยผ่าร่างกายตรวจตราให้เห็น จึ่งเปนการยากที่สุดที่จะหาหมอดี ๆ ใช้ได้นอกจากหมอหลวง หมอเชลยศักดิแล้ว มักเหลวไหลมีแต่ตำราพาไปตามตำราเปนพื้น ส่วนการเซอเยอรีเล่าก็กันดารอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ถึงจะตั้งสอนวิชาแพทย์สยามขึ้นบัดนี้ ก็คงจะไม่ได้ดีแลเจริญขึ้นอย่างไรนัก ถ้าจะจัดก็คงต้องสอนทั้งวิชาแพทย์สยามแลอย่างยุโรปด้วย จึ่งจะเปนประโยชน์เจริญได้ดีขึ้น นักเรียนก็คงจะมีผู้สมัคเรียนมาก แต่การที่จะสอนวิชาอย่างหมอยุโรป จะเรียกหมอฝรั่งมาเปนครูสอนคนไทยที่ไม่ทราบภาษาอังกฤษแล้ว คงไม่ดีเหมือนคนไทยสอนอธิบายกันเองเปนแน่ เพราะความอธิบายในภาษาไทย ครูฝรั่งคงไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ ทั้งเงินเดือนก็คงจะเรียกเอาแรงมาก ข้าพระพุทธเจ้าได้พูดกับหมอกาวัน หมอวิลิศ ก็ร้องว่าลำบากจริงตามที่ข้าพระพุทธเจ้าคิดเห็น

ด้วยเหตุทั้งปวงนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงมีความมุ่งหมายที่จะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ได้ส่งเด็กชาวสยามไปเรียนวิชาหมออย่างยุโรปพอมาเปนเชื้อสายสั่งสอนกันต่อไป หมอกาวันขอให้ส่งคนอายุเพียง 12 ปี 13 ปี ออกไปเรียนประมาณ 10 ปีเปนอย่างช้า ก็คงจะได้กลับมารับราชการ ในเวลาที่นักเรียนเหล่านี้ยังไม่ได้กลับมา ก็จะให้หมอกาวันสอนไปอย่างเตี้ย ๆ พอใช้การพลาง ข้าพระพุทธเจ้าปฤกษากับกรมหมื่นดำรงราชานุภาพก็เห็นชอบด้วย แล้วข้าพระพุทธเจ้าจึงลองกราบทูลหาฤๅกรมหลวงเทวะวงษวโรประการตามความที่เห็น ก็ทรงเห็นด้วยในการนี้

การเรื่องนี้ ถ้าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานจัดเด็กที่ทราบหนังสือไทย ฤๅนักเรียนมีประโยคแล้ว อย่างมาก 6 คน อย่างน้อย 8 คน ส่งไปเรียนวิชาหมออย่างยุโรป ขอพระราชทานให้ราชทูตสยามเปนธุระที่จะจัดการต่อไป ข้าพระพุทธเจ้าก็จะหมั่นตักเตือนสอบสวนออกไปเนือง ๆ ไม่ช้านานนัก คงจะได้รับประโยชน์ตามต้องการเปนแน่

การจะควรมิควรประการใด ขอพระบารมีเปนที่พึ่ง ควรมิควรสุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้า ศรีเสาวภางค์

 

 

557 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

วันที่ 9 พฤษภาคม พ.. 2432 เป็นวันที่พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ กราบบังคมทูลเรื่องการคิดจะบำรุงวิชาแพทยศาสตร์ โดยจะมีโรงเรียนแพทย์ และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ส่งเด็กอายุ 12 - 13 ปีไปเรียนวิชาหมออย่างยุโรปประมาณ 10 ปี เพื่อกลับมาเป็นครูสอนวิชาแพทย์ยุโรปให้กับคนสยาม แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.. 2432 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ เริ่มประชวร หมอวิลลิศเป็นผู้ถวายการรักษา พระอาการทุเลาในเบื้องต้น แต่ต่อมาพระอาการทรุดหนักลง

วันที่ 10 ตุลาคม พ.. 2432 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ สิ้นพระชนม์ จึงไม่ทันที่จะดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์

 

 

หมายเหตุ

557_พระเจ้าน้องยาเธอ

พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์

(.. 2405 - 2432)

 

พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ ทรงดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่ง ทั้งเป็นราชเลขานุการในพระองค์ อธิบดีกรมอักษรพิมพการ (พิมพ์หนังสือราชกิจจานุเบกษา) และอธิบดีกรมพยาบาล พระองค์ทรงงานอย่างหนักจนประชวรด้วยวัณโรค และเสด็จประทับรักษาพระองค์ ณ โรงศิริราชพยาบาล เมื่อประชวรครั้งที่จะสิ้นพระชนม์นั้นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ออกพระโอษฐ์ด้วยความตกพระทัยว่าไม่รู้เลยว่าใช้ศรีเกินกำลังและมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จไปเยี่ยมพระอาการของพระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ที่โรงพยาบาลศิริราชหลายครั้ง พระองค์ศรีฯ สิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษาเพียง 27 ปี

 

2432 - 7 ตัวอย่าง ใบอนุญาตความเห็นหมอใบรับรองแพทย์ในยุคแรก

วันที่ 20 พฤษภาคม พ.. 2432 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ผู้กำกับกรมธรรมการ กราบบังคมทูลอาการของพระมหาชมที่มารับการรักษา ณ โรงศิริราชพยาบาล ที่มีความจำเป็นต้องบริโภคอาหารเพื่อบำรุงร่างกาย แต่จะขัดต่อวินัยบัญญัติ ความว่า ...พระมหาชม วัดนิเวศธรรมประวัติ ขอพระราชทานลาสิกขาบท (ลาสึก) เนื่องจากอาพาธ มารักษาตัวที่โรงศิริราชพยาบาลแล้วอาการยังทรงอยู่ หาคลายไม่...เมื่อพยาบาลไม่เต็มกำลังเช่นนี้ โรคก็จะทวีมากขึ้นให้กำลังน้อยร่างกายซุดโซมลงทุกวัน ครั้นจะให้บริโภคอาหารก็ขัดต่อวินัยบัญญัติ ความแจ้งอยู่ในจดหมาย พระประสิทธิ์วิทยา ขุนเทวโอสถ หมอกาวัน ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้สอดผนึกขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายนั้น...

วันที่ 17 พฤษภาคม พ.. 2432ใบรับรองแพทย์แผนไทยของพระมหาชม (ยังไม่พบใบรับรองแพทย์ของหมอกาวัน)

 

 

558 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

ใบอนุญาติที่ 94 วันที่ 17 พฤษภาคม รัตนโกสินทรศก 108

ใบอนุญาติฉบับนี้

เปนความเหนของหมอในโรงศิริราชพยาบาลเพื่อจะชี้แจงอาการโรคของพระมหายุทินทโร วัดนิเวศธรรมประวัติ ซึ่งได้เข้ามารักษาโรคซึ่งอาพาธอยู่ในโรงศิริราชพยาบาล

โรคที่เปนนั้นเพราะด้วยเสมหะแห้งแลเปนพิศม์จึงทำอาการให้อกแห้งแลสวิงสวายกลุ้มกลัดในใจอ่อนเปลี้ยในเวลาบ่ายทุกวัน แลทำให้นอนไม่หลับสนิดได้ อาการโรคที่เปนนี้จะนับว่าเปนโรคที่อันตรายถึงแก่ชีวิตรก็ยังไม่เห็นว่าจะเปนไปโดยเรวได้ ถ้าพยาบาลรักษาแก้ไขได้เตมมือ คงจะหายแต่จะช้าเวลาไป

แต่บัดนี้พระมหายุทินทโรมีอาการที่อ่อนเปลี้ยหิวโหยในเวลาบ่าย ครั้นจะให้บริโภคอาหารในเวลานั้นก็ขัดต่อวินัยบัญญัติ ทั้งการที่ไม่หลับนั้นก็เกิดแต่เหตุคิดวิตกวิจารณ์ต่าง ๆ ด้วยวินัยบัญญัติจะแก้ไขด้วยยาเปนอันยากที่สุด เมื่อพยาบาลไม่ได้เต็มกำลังเช่นนี้โรคจะทรงอยู่ฤๅลดถอยลงไม่ได้เลย โรคไม่ลดลงก็ทำให้กำลังน้อยแลร่างกายซุดโซมลงทุกวันว่าจะไม่เปนอันตรายแก่ชีวิตรไม่ได้

หมอเหนสมควรที่จะรักษาโรคให้เตมตามที่จะแก้ไขได้ ดีกว่าที่จะรักษาพยาบาลโดยเหตุขัดขวางดังพรรณามาแล้ว ถ้าไม่ได้บริโภคอาหารในเวลาบ่ายได้ แลตัดวิตกวิจารณ์ที่ทำให้นอนไม่หลับเสื่อมลงได้แล้วหมอจะรักษาให้โรคหายได้โดยยากเปนความขัดข้องของหมอทั้งปวงเช่นนี้จึงแจงความให้ทราบ เพื่อควรจะผ่อนผันได้ประการใดจะได้รักษาพยาบาลต่อไป

(ลงชื่อ) พระประสิทธิวิทยา

(ลงชื่อ) ขุนเทวโอสถ

 

2432 - 8 พระราชกำหนดประกาศิตบัตร แนวคิดยกร่างกฎหมายสิทธิบัตรยาครั้งแรกของสยาม

วันที่ 8 มิถุนายน พ.. 2432 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ซึ่งใช้นามในการค้าขายยาว่า หมอเวชสิศย มีดำริจะลงทุนผลิตและจำหน่ายยาให้ทั่วถึงราษฎรที่เจ็บป่วย แต่เกรงว่าเมื่อยาเหล่านั้นเป็นที่รู้จักแล้ว จะมีผู้คิดทำยาชนิดเดียวกันมาขาย จึงมีหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า

 

การที่จะทำนี้จะต้องทุนมาก ที่จะต้องซื้อยาอันมีราคาและใช้การลงภิมพ์แอกวะไดศประกาษและทำตำรา ใช้ยาอธิบายคุณก็ปีละหลาย ๆ สิบหมื่นฉบัพ กับทั้งจัดที่ตั้งและรับส่งไปมาในทิศทั้ง 4 ให้ทั่วตลอดไปในที่ไกล ๆ ก็จำต้องใช้เงินทุนและแรงคนใช้มากกว่ามาก ถ้าหากว่าการสำเหร็จ

 

 

559 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

 

พอคุณยาเหล่านี้มีทั่วถึงได้ คนทั้งหลายอื่นที่มิได้ลงแรงลงทุน ก็จะพลอยทำของเข้ามาซื้อขายเอากำไรแย่งชิงตัดการที่ข้าพระพุทธเจ้ากระทำไว้ได้เหมือนกัน ทุนและแรงที่ข้าพระพุทธเจ้าต้องลงไปก่อนนั้นก็เป็นอันเสียเปล่าเท่านั้น...จำเป็นที่ข้าพระพุทธเจ้าต้องขอรับพระราชทานพระมหากรุณาบาระมีเป็นที่พึ่ง พอเป็นเครื่องป้องกันอย่าให้คนทั้งหลายคิดอุบายแกล้งขัดขวางแย่งชิงกีดกันการอันดีซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้คิดอ่านกระทำขึ้นให้เปนการเสียประโยชน์...คือ

ข้อ 1 ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใด กระทำ ฤๅจ้าง ซื้อ สั่งยา เก็บ ฤๅขายแลกและใช้ยาใด ๆ โดยรูปลักษณ ส่วนผสม (มิใช่เนื้อยา) ให้เหมือนฤๅเทียบเคียง เคลือบคลุม เพื่อให้คนทั้งปวงเข้าใจฤๅสงใสว่าเป็นยาอย่างเดียวกัน...

ข้อ 2 ห้ามมิให้ผู้ใดทำขึ้น ฤๅจ้าง ซื้อ สั่ง ฤๅถือเอา ฤๅคัดลอก และทำเทียบ ห่อยา และตำรา คำประกาษ คำอธิบาย เครื่องหมาย ร้อยตรา ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าได้คิดและกระทำขึ้น...ให้คล้ายกับข้าพระพุทธเจ้า...

ข้อ 3 ห้ามมิให้ผู้ใด ฉ้อ ปลอม สับเปลี่ยน แก้ไข แอบอิง ฤๅประการใด ๆ ชื่อเสียง และตัวยาหาผลประโยชน์...

ข้อ 4 ถ้าผู้ใดมิฟัง ขืนกระทำการล่วงพระราชกำหนดและพระบรม-ราชานุญาตประการใด ๆ ให้ข้าพระพุทธเจ้ามีอำนาจจะบนจะจับมาว่ากล่าว ฤๅจะฟ้อง...

ข้อ 5 ข้าพระพุทธเจ้ามีอำนาถ อันควรที่จะอาไศรยแก่ข้อพระราช-กำหนดและพระบรมราชานุญาตนี้ เหมือนหนังสือสำคัญ (คือ รอแยลแลตเตอ-เปเตน) ตามเปแตนลอ คือ กฎหมายป้องกันผู้คิดการขึ้นใหม่ที่ใช้อยู่ในประเทษทั้งปวง...

 

วันที่ 9 มิถุนายน พ.. 2432 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ ราชเลขานุการ มีหนังสือเรียนพระยาภาสกรวงศ์ เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ความว่า...ด้วยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพเจ้าเรียนเจ้าคุณว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต พระราชกำหนดวิเสศ ในการที่จะขายยา (โอสถฤๅเภสัช) การนี้เป็นน่าที่เกี่ยวข้องอยู่ในวนิชกิจ (ฤๅวานิชกิจ) จึงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งสำเนาหนังสือพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ไปให้เจ้าคุณตรวจดู เจ้าคุณจะเห็นควรจัดอย่างไรให้ตอบมาให้ทราบ เพื่อจะได้กราบบังคมทูลพระกรุณา...

วันที่ 21 มิถุนายน พ.. 2432 พระยาภาสกรวงศ์ เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ มีหนังสือกราบทูลกรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ ราชเลขานุการ ความว่า

 

ข้าพระพุทธเจ้ารับใส่เกล้าฯ ตรวจดูข้อความในหนังสือ ซึ่งกราบบังคมทูลขอให้พระราชทาน ราชประกาศิตบัตร มีข้ออภิปรายอันไพเราะ (กุฎโกษณะ

 

 

560 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

โวหาร) นั้น เป็นความประสงค์ ขออำนาจ 5 ข้อ เพื่อจะได้อุดหนุนการขายยาหาอัตตประโยชน์เจือความเมตตากรุณาแก่ไพร่ฟ้าประชากร...เมื่อสรุปใจความเข้าหมด ก็เป็นการเอกประโยค ซึ่งเรียกตามอัษฎงคตพจน์ว่าโมโนโปลีจะขอพระบรมเดชานุภาพปกแผ่ขายยาแต่ผู้เดียว โดยไม่มีกำหนดนั้น... แต่การอย่างนี้เกิดมีผลขึ้นแห่งหนึ่งแล้ว ก็คงจะมีผู้ขอพระบรมราชานุภาพหาผลประโยชน์ในอิศรแต่เพียงผู้เดียว...จะไม่เป็นแบบแผนที่ชอบยุติลงได้ ความเอกประโยคเช่นนี้มักจะเป็นที่เคยติเตียนมาแล้วในมหาประเทศ จึ่งเป็นเหตุที่ต้องตั้งเปเตนต์ลอว์ขึ้นไว้สำหรับการเช่นนี้ทุกประเทศ ซึ่งมีทางพระราชไมตรีมีกำหนดเขตรที่จะให้เอกประโยชน์เพียง 14 ปีเป็นอย่างมาก 10 ปีเป็นอย่างกลาง 5 ปีเป็นอย่างน้อย เมื่อสิ้นเขตรแล้ว ผู้อื่นจะได้หาประโยชนได้บ้าง

ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า การแลเวลาที่เดินอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ภอที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกฎหมายเปเตนต์ลอว์ขึ้นไว้ ด้วยจะได้เป็นการอุดหนุนเหมือนให้รางวัลแก่ผู้คิดการให้เจริญดีขึ้น แลจะได้ป้องกันการที่ผู้ได้รับเอกประโยคให้ประพฤติต้องตามพระราชกำหนดที่จะได้ตั้งขึ้น เมื่อประพฤติไม่ต้องตามคลองทางที่รับประโยชน์ไป จะได้รับโทษเป็นคู่กัน...

 

วันที่ 8 กรกฎาคม พ.. 2432 กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ ราชเลขานุการ มีหนังสือเรียนพระยาภาสกรวงศ์ เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ความว่า

 

...ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าลอองธุลีพระบาทแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้ข้าพเจ้าเรียนว่า การที่เจ้าคุณเห็นควรว่าจะตั้งกฎหมายเปเตนต์ลอขึ้นนั้น ทรงพระราชดำริห์เห็นชอบด้วยแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าคุณร่างกฎหมายนั้นขึ้นแล้วจึ่งจะทรงพระราชดำริห์แก้ไขต่อไป

 

2432 - 9 ย้ายสำนักงาน (ออฟฟิศ) กรมพยาบาล

ราวเดือนตุลาคม พ.. 2432 มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ประกาศย้ายออฟฟิศที่จัดการกรมพยาบาลทั่วไป ซึ่งเดิมอยู่ที่โรงศิริราชพยาบาล มาอยู่ที่ตึกออฟฟิศกรมศึกษาธิการ

...ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดมีธุระแลราชการเกี่ยวข้องแก่กรมพยาบาล ขอให้ส่งจดหมายฤๅมาพูดจาข้อกิจธุระแลราชการ ที่ออฟฟิสกรมศึกษานั้น...

 

 

หมายเหตุ

ศาลาธรรมการ หรือออฟฟิศกรมศึกษาธิการ ในปี พ.. 2432 อยู่ที่ตึกสองชั้นหลังศาลาสหทัยสมาคม ริมประตูพิมานไชยศรี ด้านตะวันออกในเขตพระบรมมหาราชวังชั้นนอก และย้ายไปเมื่อ พ.. 2436

 

 

561 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย

 

 

2432 - 10 ตั้งหม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล เป็นหลวงไพศาลศิลปศาสตร

วันที่ 23 ธันวาคม พ.. 2432 ประกาศราชกิจจานุเบกษา พระราชทานสัญญาบัตรขุนนาง ให้หม่อมราชวงศ์เปียเป็นหลวงไพศาลศิลปศาสตร มีตำแหน่งราชการในกรมศึกษาธิการ ถือศักดินา 800

 

 

หมายเหตุ

หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล (16 เมษายน พ.. 2410 - 14 กุมภาพันธ์ พ.. 2459) ภายหลังได้เป็นมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เสนาบดีกระทรวงธรรมการ เป็นบุคคลสำคัญในการวางรากฐานการศึกษาของประเทศไทยช่วงกลางรัชกาลที่ 5 ถึงตอนต้นรัชกาลที่ 6 ปรับปรุงระบบการศึกษาของไทย ร่างเป็น