:: ร่าง พ.ร.บ.เซลล์ทางการแพทย์ นิยามสับสน- วงการ. วงการแพทย์เเตกแยก 2 พฤศจิกายน 58 โดย ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ...

: 03 พ.ย 58     : แพทยสภา


กรณีร่าง พ.ร.บ.เซลล์ทางการแพทย์ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพที่ได้นำเสนอ ต่อเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการไปแล้วนั้น (ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับการยอมรับ และมีการทักท้วงและคัดค้านจากหลายฝ่าย อาทิ แพทยสภา กรมการแพทย์ ฯลฯ แต่ก็มีการนำเสนอร่างกฎหมายต่อเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยละเว้นคำคัดค้านจากมติ คณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่อย่างเป็นทางการที่ให้ชะลอร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกไป เนื่องจากขัดหลักสากล) ทำให้คณะรัฐมนตรีเข้าใจว่าร่าง พ.ร.บ. เซลล์ทางการแพทย์ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วจะต้องคำนึงถึงมติคณะกรรมการแพทยสภา ชุดใหญ่ซึ่งเป็นความเห็นของหน่วยงานควบคุมวิชาชีพเวชกรรมที่สำคัญที่สุด เพราะร่าง พ.ร.บ. เซลล์ทางการแพทย คือ กฎหมายควบคุมการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์อยา่งชัดเจน

ดังนั้น ผู้ยกร่างกฎหมาย พ.ร.บ.เซลล์ทางการแพทย์เพื่อควบคุมวิชาชีพเวชกรรม จะต้องให้เกียรติและเคารพต่อมติคณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ที่เป็นผู้เเทนของแพทยทั่วประเทศกว่าห้าหมื่นคน ซึ่งคณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ดังกล่าวประกอบด้วยคณบดี คณะแพทยศาสตร์จากทุกสถาบันทั่วประเทศ เจ้ากรมแพทย์ทุกเหล่าทัพ และกรรมการ แพทยสภาที่มาจากการเลือกตั้งกว่า 50 ท่าน

นอกจากนี้การออกกฎหมายควบคุมการประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยกำหนดโทษรุนแรงกับแพทย์ เช่น จำคุกและปรับหนัก จะส่งผลให้เเพทยที่ประกอบวิชาชีพเวชกรรมถึงขั้นหมดอนาคต นอกจากนี้การบัญญัติกฎหมายนี้ให้มีอำนาจเหนือกฎหมายแพทยสภาจึงเป็นเรื่องร้ายแรง มีความเสี่ยงที่อาจทำให้เเพทย์ทั่วประเทศลุกฮือขึ้นต่อตา้นและสร้างความแตกแยกไปทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ. เซลล์ทางการแพทย์ฉบับสุดท้ายมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากร่าง ฉบับที่ 5 โดยมีการตัดบางประเด็นที่ไม่สำคัญออกไป ซึ่งผู้เขียนเคยทำการวิเคราะห์ร่างฯ ฉบับที่ 5 ให้กับกรมการแพทย์เเละแพทยสภาไว้อย่างละเอียดมาแล้ว อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ยังคงมีข้อผิดพลาดในส่วนที่สำคัญที่สุด

เช่นเดิม กล่าวคือ นิยามกฎหมายผิดพลาดสับสนในเรื่องการแบ่งประเภทการใช้เซลล์ ในทางการแพทย์ ซ์ึ่งผิดหลักการสากลโดยสิ้นเชิงเพราะไปนำหลักการมาจากงานวิจัยเซลล์เเบบพื้นฐานมาใช้เเบ่งกลุ่มการใช้เซลล์รักษาโรคในผู้ป่วย ซึ่งถือเป็นคนละเรื่องกันและเป็นวิธีคิดที่ต่างกัน

ร่าง พ.ร.บ. เซลล์ทางการแพทย์ดังกล่าวน้ี้แบ่งกลุ่มการใชเ้ซลลใ์นการรักษาโรค ตามแหล่งที่มาของเซลล์ เช่น เซลล์มนุษย์ เซลล์สัตว์ เซลล์พืช หรือสเต็มเซลล์ตัวอ่อน มนุษย ์ซึ่งการแบ่งลักษณะนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถใช้ในควบคุมการรักษาโรค ทางการแพทย์ด้วยเซลล์ได้ จึงไม่มีประเทศใดนำระบบน้ี้มาใช้ในระบบควบคุมสุขภาพ แม้เเต่ประเทศเดียว

การให้นิยามกฎหมายที่ผิดพลาด ทำให้สาระควบคุมของกฎหมายที่บัญญติ ตามหลังเกิดความผิดพลาดทั้งหมด แบบที่เรียกง่าย ๆ ว่าไปไม่ถูกทาง ต้องประกาศแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อย ๆ หากมีผลบังคับใช้จะส่งผลกระทบและสร้างความสับสนต่อ ระบบควบคุมสุขภาพของประเทศรา้ยแรงอย่างไม่มีมาก่อน เพราะอาจทำให้วงการแพทย์ต้องแตกแยกเป็น 2 ส่วนจากกฎหมายฉบับนี้ คือ แพทยส่วนหนึ่งอยู่ในการควบคุมของแพทยสภา ในขณะที่แพทยอ์ีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใช้เซลล์ในการรักษาตกอยู่ในการควบคุมของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ

ในขณะเดียวกันกรมสนับสนุนบริการสุขภาพก็กลายเป็นผู้มีอำนาจ ควบคุมสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว เพราะมีอำนาจควบคุมทั้งเเพทย์ สถานพยาบาล และผลิตภัณฑ์ เซลล์ (แฝงอยู่ในเซลล์พืช เซลล์สัตว์) ซึ่งในนามของคณะกรรมการเซลล์ทางการแพทย์ถือ เป็นอันตรายรา้ยแรงต่อระบบควบคุมสุขภาพอย่างยิ่ง เพราะหากเกิดความผิดพลาดของระบบควบคุมขึ้นในหน่วยงานเดียวที่รวบอำนาจไว้ จะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง ประชาชนจำนวนมากอาจเจ็บป่วยล้มตายจากระบบควบคุมที่ผิดพลาดได้ ดังนั้น ในระบบควบคุมสุขภาพสากลจึงห้ามมิให้ม้ีการรวบอำนาจไว้ในหน่วยงานเดียวโดยเด็ดขาด เพราะไม่มีหน่วยงานถ่วงดุลตรวจสอบ นอกจากนี้หากระบบควบคุมด้วยหน่วยงานเดียวผิดพลาดจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชนทั่วประเทศพร้อมกันทันที

การให้นิยามศัพท์กฎหมายผิดพลาด ทำให้ ร่าง พ.ร.บ. เซลล์ทางการแพทย์มองไม่เห็นหมวดหมู่ควบคุมการใช้เซลล์ในการรักษาผู้ป่วยตามระบบสากล หมวด ควบคุมในบัญญัติกฎหมายดังกล่าวจึงไม่สามารถนำนิยามศัพท์มาใช้ประโยชน์แบ่งหมวดหมู่

และระดับการควบคุมได้อย่างเป็นระบบสากล จึงใช้วิธีแบบง่าย ๆ สำหรับงานควบคุมทั่วไป มาควบคุมแทนระบบควบคุมเซลล์สากลที่สลับซับซ้อน คือ บังคับให้ข้ึ้นทะเบียนให้หมด ทุกประเภท ทั้งแพทย์ สถานพยาบาล ผลิตภัณฑ์เซลล์ (ซึ่งแฝงอยู่ในหมวดเซลล์พืช เซลล์สัตว์) และใช้วิธีง่าย ๆ ในการควบคุม คือ ออกประกาศกฎหมายบังคับ ห้ามทำ หรืออนุญาตให้ทำ ซึ่งตามความเห็นของคณะกรรมการเซลล์ทางการแพทยเ์ป็นผู้กำหนด ถือเป็นการลิดรอนสิทธิ ในการรักษาโรคของแพทยทั่วประเทศในอนาคตด้วยวิธีแบบขวานผ่าซาก คือ ข้อบ่งชี้การรักษาโรคด้วยเซลล์จะถูกประกาศบังคับโดยกฎหมายเป็นกรณี ๆ ไป เป็นเรื่องที่ไม่มีประเทศใดทำกัน

นับเป็นความล้มเหลวของหน่วยงานภาครัฐที่ร่างกฎหมาย สับสนในเรื่องหลักการและปรัชญาการควบคุม ซ้ำเติมปัญหาให้กับประเทศไทย เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้มีอำนาจไม่ได้ทำ ความเข้าใจถึงตรรกะการควบคุมระบบสุขภาพสากลอย่างเเท้จริง จึงไม่สามารถผลักดันการพัฒนาประเทศให้ถูกต้องตามหลักสากล หากต้องการควบคุมการรักษาโรคด้วยเซลล์ใหม่ความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพตามแบบสากลอารยะประเทศก็ควรทำการศึกษาว่าประเทศอื่นในโลกนี้ที่พัฒนาระบบดีแล้วเขาทำกันอย่างไร ไม่ใช่นึกคิดจินตนาการระบบขึ้นเอง ประเทศไม่ใช่ของเล่นที่จะทดสอบความคิดของใคร ควรศึกษาให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เเตกฉานถึงปรัชญา ตรรกะควบคุมอย่างรอบคอบและดำเนินการด้วยความระมดัระวังที่สุด ไม่ใช่มุ่่งแต่จะลงโทษ เพราะหลักการของกฎหมาย สุขภาพคือกฎหมายควบคุมให้ถูกทิศทาง ไม่ใช่กฎหมายอาญา แม้ระบบกฎหมายแต่ละประเทศจะต่างกัน กฎหมายไม่เหมือนกัน แต่หลักการสำคัญ ตรรกะ วิธีคิดเป็นเรื่องเดียวกัน และยังคงเหมือนกัน จึงควรทำการบ้านให้เข้าใจแตกฉาน ปรึกษาหารือและถกเถียงกันอย่างกว้างขวางก่อนร่างกฎหมาย ประเทศจึงจะไม่ตกอยู่ในหลุมดำทางกฎหมาย

เมื่อวิเคราะหผ์ลกระทบของการบัญญัติพระราชบัญญัติเซลล์ทางการแพทย์ในรายละเอียดเชิงลึก แม้ว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการแก้ปัญหาการใชเ้ซลล์รักษาโรคในประเทศไทยก็ตาม แต่กฎหมายมีข้อผิดพลาดร้ายแรงในเชิงหลักการควบคุม หากมีผลบังคับใช้จะทำใหเ้กิดผลเสียหายต่อประเทศอย่างใหญ่หลวงมากกว่าการใช้สเต็มเซลล์เเบบผิด ๆ ใน ประเทศอย่างมาก

สิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำ คือ ยกร่างกฎหมายควบคุมการใช้เซลล์รักษาโรคขึ้นใหม่ให้สอดคล้องหลักการสากล ไม่ใช่เรื่องผลักดันกฎหมายที่ผิดหลักการสากลไป บังคับใช้จนเกิดผลเสียหายต่อประเทศอย่างร้ายเเรง จึงมีคำถามว่า การเร่งผลักดันกฎหมายดังกล่าวใหเ้ร็วขึ้นเพียงไม่กี่เดือนจะมีประโยชน์อะไรเมื่อเปรียบเทียบกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ? ทำไมไม่รอให้ (ร่าง)พระราชบัญญัติเซลล์บำบัดที่แพทยสภาเป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดทำอยู่ให้เเล้วเสร็จเสียก่อน จึงจะนำประชาพิจารณเ์ปรียบเทียบกันแล้วเลือกนำเสนอกฎหมายฉบับที่ดีที่สุดให้กับประเทศไทย

จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าจะรีบเร่งไปทำไม ? แค่อีกเพียง 2-3 เดือน (ร่าง) พระราชบัญญัติเซลล์บำบัดก็จะแล้วเสร็จ

 

ที่มาข่าว :: www.isranews.org

เขียนโดย :: ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ

ภาพประกอบ :: เว็บไซต์ sanook



Copyright © สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์โดยแพทยสภา ห้ามทำการลอกเลียน ไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดนอกจากจะได้รับอนุญาต