ประเทศไทย เมืองศัลยกรรมความงาม
: 26 ก.พ. 56 : แพทยสภา
วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 10.30 น. ณ สำนักงานเลขาธิการแพทยสภาโดยมี นายแพทย์สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายแพทย์นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้าแห่งประเทศไทย และ พล.ต.ท. นายแพทย์อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ นายกสมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยประเทศไทย ร่วมกันแถลงข่าว การจัดงานประชุมวิชาการเชิงปฏิบัติการ Masterclass Project: Rhinoplastyซึ่งเป็นการประชุมปฏิบัติการให้กับแพทย์ด้านศัลยกรรมตกแต่งความงามกว่า 200 คน พร้อมสาธิตการผ่าตัดเสริมจมูกด้วยการปลูกถ่ายไขมันในรูปแบบ live Surgeryระหว่างวันที่ 2-3 มีนาคม 2556 ณ โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้สู่แพทย์รุ่นใหม่ ที่ขณะนี้ตลาดศัลยกรรมยังขยายตัวต่อเนื่อง
นายแพทย์สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า “ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดนเฉพาะเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 เชื่อว่าจะช่วยทำให้ตลาดธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามขยายตัวมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้คนไข้ชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ในไทยจำนวนมาก
ทั้งนี้จากข้อมูลของสมาคมเสริมความงามนานาชาติ ระบุว่าปริมาณการทำศัลยกรรมทั้งประเภทที่ต้องผ่าตัดและไม่ผ่าตัดนั้นในกลุ่มภูมิภาคเอเชียพบว่า จีนมีสัดส่วนการทำศัลยกรรมสูงสุด ตามด้วยญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน โดยไทยเป็นชาติเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดผลการจัดอันดับครั้งนี้และคาดการณ์ว่าในปี 2556 จะขยายตัวต่อเนื่องโดยได้รับปัจจัยหนุนจากการทำศัลยกรรมในเอเชียที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยตลาดอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าจับตาคือ ตลาดอาเซียน กลุ่มประเทศ CLMVหรือกัมพูชา, ลาว, พม่า, เวียดนาม ที่หลั่งไหลเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ในประเทศไทย ซึ่งจะผลักดันให้ไทยเข้าสู่การเป็นศูนย์กลาง “Surgical hub of Asia”
นายแพทย์ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกระแสความงามด้วยการศัลยกรรมตกแต่งว่า “เทรนด์ความงามแบบเกาหลียังคงอยู่ในกระแสของคนไทย ยิ่งปัจจุบันคลินิกความงามหลายแห่งชูจุดเด่นเฉพาะทางด้วยการผันตัวเองเป็นตัวแทนโรงพยาบาลเกาหลีเพื่อส่งลูกค้าไปทำศัลยกรรม ประกอบกับกระแสวัฒนธรรมเกาหลีที่แทรกซึมเข้ามาผ่านทางสื่อบันเทิง การท่องเที่ยว สินค้าและแฟชั่น จนกลายเป็นกระแสเกาหลีฟีเวอร์ไปทั่วภูมิภาค ซึ่งกระแสดังกล่าวจะคงอยู่ในแวดวงศัลยกรรมตกแต่งนานแค่ไหนนั้น อยู่ที่การสนับสนุนของภาครัฐด้วยเช่นกัน เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพความพร้อมด้านบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์ เครื่องมือที่ทันสมัย และค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับคุณภาพมาตรฐานในการรักษาที่ผู้ป่วยจะได้รับ แต่จะทำอย่างไรให้ผู้บริโภครู้ว่าประเทศไทยมีศักยภาพความพร้อมในการก้าวสู่ผู้นำด้านศัลยกรรมตกแต่งในภูมิภาคเอเชีย จึงเกิดการรวมตัวกันของกลุ่มแพทย์คนไทยที่มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญการด้านศัลยกรรมความงามระดับ Master กว่า 30 ท่าน ร่วมกันจัดงานประชุมวิชาการเชิงปฏิบัติการขึ้น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียที่สามารถระดมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมได้มากที่สุด โดยทุกท่านเป็นแพทย์ไทยที่มีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า20 – 30 ปี ทั้งนี้เพื่อร่วมกันประกาศศักยภาพความพร้อมของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมที่ดีที่สุดในโลก
“การจัดงานครั้งนี้ นับเป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของแพทย์ไทยที่พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่ Surgical hub of Asia อย่างจริงจัง แต่จะสำเร็จเป็นรูปธรรมมากเพียงใดนั้นคงต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนจากหน่วยงานภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันประกาศความพร้อมว่าประเทศไทยก็ไม่แพ้ชาติไหนในโลก” นายแพทย์ชลธิศ กล่าว
ด้าน พล.ต.ท. นายแพทย์อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ นายกสมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยประเทศไทย ได้กล่าวถึงการที่ไปทำศัลยกรรมความงามจากต่างประเทศ เช่น กรณีจมูกฉีด ซึ่งเคยพบปัญหาและต้องมาให้แพทย์ไทยรักษาและแก้ไขนั้น อยากให้ประชาชน ได้ศึกษาข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจไปทำศัลยกรรมความงามที่ต่างประเทศ เพราะถ้าหากไปรักษากับแพทย์ที่ขาดความเชี่ยวชาญและความรอบคอบแล้ว อาจเกิดผลข้างเคียงได้